NORXACIN 200MG TABLET (นอร์ซาซีน ชนิดเม็ด) ใช้อย่างไร

เอกสารกำกับยา

NORXACIN 200MG TABLET
ส่วนประกอบ :ใน 1 เม็ด ประกอบด้วยตัวยาสำคัญคือ Noriloxacin 200มก.
ลักษณะยา : NORXACIN 200MG TABLET
ยาเม็ดรูปยาว นูนเล็กน้อย เคลือบฟิล์มสีขาวด้านหนึ่งมีขีดแบ่งครึ่ง ด้านหนึ่งมีเครื่องหมาย “siam”

คุณสมบัติ

เภสัชพลศาสตร์

Nortloxacin เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโดนที่มีฤทธิ์กว้างในการทำลายเชื้อแบคทีเรีย ออกฤทธิ์ยับยั้งการสังเคราะห์ DNA โดยการยับยั้ง type I! DNA topoisomerase หรือ DNA gyrase ซึ้งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการ replicate, transcript, และ repair DNA ของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยับยั้งเอนไซม์ topoisomerase IV ส่งผลให้ไม่เกิดการแยกของ chromosomal DNA ในระหว่างการแบ่งเชลล์ของเชื้อแบคทีเรีย Norfloxacin มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมลบเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ Enterobacter spp. Escherichia coli, Haemophilus ducreyi, Kiebsiella pneumoniae, Neisseria gonorrhoeae, Proteus mirabilis, Proteus vulgaris, Pseudomonas aeruginosa, Pseudomonas fluorescens, Serratia marcescens และ Ureaplasma urealyticum นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์ต้นเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกบางชนิด เช่น penicillinase-producing, nonpenicillinase-producing, methicillin-resistant staphylococci และ Enterococcus faecalis เชื้อแบคทีเรีย anaerobes ส่วนใหญ่จะดื้อต่อยานี้

เภสัชจลนศาสตร์

Norfloxacin ถูกดูดซึมได้อย่างรวดเร็วในทางเดินอาหาร ในอาสาสมัครสุขภพสมบูรณ์ที่อดอาหารยาจะดูดซึมประมาณ 30-50%เมื่อให้โดยการรับประทาน โดยจะมีระดับยาในเลือดสูงสุดภายหลังจากการรับประทานยา 1-2ชั่วโมง อาหารที่มีส่วนประกอบของนมมีผลทำให้การดูดซึมยาลดลง และเมื่อรับประทานยาพร้อมกับยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของ magnesium hydroxide และ aluminium hydroxide พบว่ายามีชีวประสิทธิผลลดลง ยาสามารแพร่กระจายเข้าสู่ไต ถุงน้ำดี ตับ ต่อมลูกหมาก อัณฑะ มดลูก ปากมดลูก ช่องคลอด และรกได้ ประมาณ10-15% ของยาจะจับกับพลาสมาโปรตีน และจะถูกขับออกทางไตโดยขบวนการ glomerular filtration และ tubular secretion ยาจะถูกขับออกช้าลงในผู้ป่วยที่มีภาวะไตทำทำงานบกพร่อง ดังนั้นควรมีการปรับขนาดยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ โดยปกติยามีค่าครึ่งชีวิตประมาณ 2.3-4 ชั่วโมง ยานี้ไม่สามารถขับออกจากร่างกายโดยการทำ hemodialysis

ข้อบ่งใช้

ใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียที่ไวต่อยานี้

  • โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะทั้งแบบที่มีและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • โรคหนองในแท้ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorthooge
  • โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
  • รักษาต่อมลูกหมากอักเสบ

ขนาดและวิธีใช้ยา

  • ควรรับประทานยาก่อนอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2 ชั่วโมง เนื่องจากอาหารมีผลรบกวนการดูตซึมของยา
  • ผู้ป่วยควรดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังรับประทานยานี้
  • ในผู้ป่วยไตทำงานปกติ ไม่ควรใช้ยาเกินขนาด 400 มก. วันละ 2 ครั้ง เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิด crystalluria ขึ้นได้

ขนาดยาในผู้ใหญ่

ข้อบ่งใช้

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่ไม่มีภาวะแทรกช้อน

  • ขนาดยา รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง
  • ระยะเวลาการรักษา 3 วัน
  • ทางเดินปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ E. coli, K. pneumoniae และ P. mirabilis

การติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ

  • ขนาดยา รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัมทุก 12 ชั่วโมง
  • ระยะเวลาการรักษา 7-10 วัน

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่มีภาวะแทรกซ้อน

  • ขนาดยา รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง 
  • ระยะเวลาการรักษา 10-21 วัน

รักษาต่อมลูกหมากอักเสบ

  • ขนาดยา รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง
  • ระยะเวลาการรักษา 28 วัน

โรคติดทางเพศสัมพันธ์และโรคหนองในที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน

  • ขนาดยา รับประทานครั้งละ 800 มิลลิกรัม ครั้งเดียว 
  • ระยะเวลาการรักษา 1 วัน

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

การติดเชื้อทั่วไป

  • ขนาดยา รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละสองครั้ง
  • ระยะเวลาการรักษา 5 วัน

การใช้ยาในผู้ป่วยที่การทำงานของไตบกพร่อง

ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องควรได้รับการปรับขนาดยาตามความรุนแรงของโรค
ในผู้ป่วยที่มีค่า creatinine clearances มากกว่า 30 mL/min per 1.73 m : รับประทานขนาดยาเท่ากับผู้ป่วยไตทำงานปกติ ในผู้ป่วยที่มีค่า creatinine clearances น้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 mL/min per 1.73m2:รับประทานครั้งละ 400 มิลลิกรัม

การใช้ยาในสตรีมีครรภ์และสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเอง

ยังไม่มีการศึกษาที่ดีและเพียงพอสำหรับการใช้ยาในสตรีมีครรภ์ อย่างไรก็ตามมีการศึกษาการใช้ยากลุ่มควิโนโลนในสัตว์ทดลองพบว่า มีผลทำให้เกิดความผิดปกติของกระดูกในสัตว์ที่ยังเจริญไม่เต็มวัย จึงไม่ควรใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์ มีการศึกษาในการใช้ยา Norfloxacin ในขนาด 200 มิลลิกรัม พบว่ายา
ไม่สามารถแพร่กระจายเข้าสู่น้ำนมได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าการให้ยาในขนาดสูงขึ้นยาจะสามารถผ่านน้ำนมได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ควรใช้ยานี้ในสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเอง หากมีตวามจำเป็นต้องใช้ยาควรงดการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเอง

ข้อห้ามใช้

ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยา Norioxacin หรือผู้ที่มีประวัติแพ้ยากลุ่มควิโนโลน รวมทั้งผู้ที่มีประวัติเอ็นอักเสบ และการฉีกขาดของเอ็น เนื่องจากยา Norfloxacin หรือยากลุ่มควิโนโลน

คำเตือนและข้อควรระวัง 

คำเตือน

  1. ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานี้ หรือยาในกลุ่มควิโนโลนตัวอื่น ๆ
  2. สตรีมีครรภ์และสตรีระยะให้นมบุตรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้
  3. หากใช้ยานี้แล้วมีผื่นขึ้น ปวดเมื่อย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเอ็นข้อมือหรือข้อเท้า ให้รีบหยุดยาและปรึกษาแพทย์ทันที
  4. ยานี้อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตับและไตได้
  5. ไม่ควรใช้ยานี้ หรือหากจำเป็นให้ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางซึ้งง่ายต่อการเกิดอาการชักโดยสัมพันธ์กับขนาดยาที่ให้
  6. ยานี้อาจทำให้เกิดผื่นแพ้แสงแดด (phototoxicity reaction) หรือผื่นชนิดรุนแรง เช่น Toxic epidermal necrolysis, Stevens – Johnson syndrome, Erythema multiforme เป็นต้น
  7. ยานี้อาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลในเลือด ควรระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน
  8. การใช้ยานี้ร่วมกับ warfarin อาจจะเพิ่มฤทธิ์ของ warfarin

ข้อควรระวัง

  1. ไม่ควรให้ยานี้ในสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
  2. ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากอาจมีผลต่อกระดูกและข้อได้ในเด็กที่ยังเจริญไม่เต็มวัย
  3. การใช้ยานี้อาจทำให้เกิดการแพ้แสงแดดได้ ดังนั้นหากมีอาการทางผิวหนังควรหยุดใช้ยา และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด
  4. ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเอ็น เนื่องจากการใช้ยากลุ่มควิโนโลนสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นอักเสบ และการฉีกขาดของเอ็นได้
  5. ระวังในผู้ป่วยที่มีรอยโรคระบบประสาทส่วนกลางที่กระตุ้นให้เกิดการชักได้ง่าย
  6. ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคหัวใจเนื่องจากอาจมีผลทำให้ QT interval ยาวนานขึ้น
  7. ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรค G-6-PD
  8. ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่ไตทำงานบกพร่อง
  9. ในการใช้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างเกือบทุกกลุ่มรวมทั้ง Norfloxacinอาจทำให้เกิด pseudomembranous colitis ด้ซึ่งมีช่วงความรุนแรงเล็กน้อยจนถึงเป็นอันตรายถึงชีวิต กรณีเกิด Pseudomebranous colitis ที่ไม่รุนแรงมักหายเองได้เมื่อหยุดยา กรณีมีอาการรุนแรงควรให้สารน้ำ เกลือแร่และโปรตีนทดแทน และให้การรักษาด้วยยาต้านการติดเชื้อที่เหมาะสมต่อไป
  10. การใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้างในระยะเวลานานจะเป็นผลให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อที่ดื้อยา และเชื้อราได้
  11. เนื่องจากมีรายงานการเกิด cystalluria ผู้ป่วยจึงควรได้รับสารน้ำที่เพียงพอในระหว่างการรักษาด้วยยานี้

อาการไม่พึงประสงค์

  • ระบบทางเดินอาหาร อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง ส่วนอาการอื่นๆที่อาจพบได้ไม่บ่อย ได้แก่ เบื่ออาหาร ท้องผูก ถ่ายเหลว ปากแห้ง อาหารไม่ย่อย pseudomembranous colitis
  • ระบบประสาท อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เมื่อยล้า ส่วนอาการชักอาจเกิดขึ้นได้แต่พบได้น้อย
  • ระบบผิวหนัง อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นน้อยแต่มีความรุนแรงได้แก่ ผื่นผิวหนัง ผื่นคัน ลมพิษ eosinophilia, erythema urticaria, toxic epidermal necrolysis, Stevens-Johnson syndrome, erythema multiforme และ photosensitivity
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเอ็นข้อมือหรือข้อเท้า หากผู้ป่วยมีอาการปวด อักเสบ และการฉีกของเส้นเอ็นควรหยุดยาทันที ควรใช้ Norfloxacin อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยที่เป็น myasthenia gravis เนื่องจากยานี้อาจทำให้อาการของผู้ป่วยกำเริบได้ นอกจากนี้อาจทำให้ระดับเอนไซม์ AST, ALT และ alkaline phosphatase เพิ่มขึ้น และอาจทำให้เกิด neutropenia ได้

อันตรกิริยากับยาอื่นๆ

  • ไม่ควรใช้ Norloxacin ร่วมกับยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของ magnssium hydroxide หรือ aluminium hydroxide ยา sucralfate วิตามินรวมและเกลือแร่ที่ประกอบด้วยประจุบวก divalent เช่น ธาตุเหล็ก แร่ธาตุสังกะสี รวมทั้งยา didanosine เนื่องจากยาเหล่านี้จะรบกวนและลดการดูดซึมของยา ถ้าจำเป็นควรให้ห่างอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
  • การใช้ยานี้ร่วมกับ wararin หรือยา coumarin โดย Norfloxacinอาจทำให้ฤทธิ์ของ anticoagulant เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ prothrombin time (PTT) ยาวขึ้น จึงควรระมัดระวังการใช้ยานี้ร่วมกัน และควร monitor อย่างใกล้ชิด และปรับขนาดยาเมื่อจำเป็น
  • การใช้ Nortlaxacin ร่วมกับยา theophyline จะทำให้ระดับยา theophylline ในเลือดเพิ่มขึ้นเนื่องจาก Nortiaxacin จะไปยับยั้งการเมตาบอลิสมของ theophylline ทำให้ลดการขับออกของยา จึงอาจทำให้เกิดพิษจากยา theophylline ได้ จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และปรับขนาดยาให้เหมาะสม รวมทั้งเฝ้าระวัง ระดับยา theophylline ในเลือดอย่างใกล้ชิด
  • การรับประทาน Norfioxacin ร่วมกับ ยากลุ่ม corticosteroids สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นอักเสบและฉีกขาดของเอ็นได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ
  • เมื่อให้ยานี้ร่วมกับ glyburide มีผลทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ดังนั้นควรมีการเฝ้าระวังและตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วม
  • การใช้ยากลุ่ม NSAIDs ร่วมกับ Norioxacin อาจจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ในระบบประสาทมากขึ้น เช่น อาการชัก ดังนั้นควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง

การได้รับยาเกินขนาดและวิธีรักษา

กรณีได้รับยาเกินขนาดควรแก้ไขโดยการทำให้อาเจียนหรือทำการล้างท้อง และควรให้การรักษาอาการตามอาการ รวมทั้งควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และควรให้สารน้ำที่เพียงพอเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิด crystalluria

สภาวะการเก็บรักษา

  • เก็บให้พ้นมือเด็ก
  • เก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 30*C

ขนาดบรรจุ

  • บรรจุแผงละ 8, 10 เม็ด; กล่องละ 100, 160 เม็ด
  • ขวดแก้วขวดละ 500 เม็ด


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– เอกสารกำกับยา
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี