Rotigotine (โรทิโกตีน) เป็นยาในกลุ่ม Dopamine Agonists ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากมีรูปแบบเป็น แผ่นแปะผิวหนัง (transdermal patch) ทำให้สะดวกในการใช้งานและให้ยาออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง ยาตัวนี้ใช้ในการรักษา โรคพาร์กินสัน ทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะดำเนินโรค รวมถึง กลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome – RLS) ในระดับปานกลางถึงรุนแรง บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ ประโยชน์ ผลข้างเคียง ขนาดยา และข้อควรระวังของ Rotigotine เพื่อให้คุณมีความเข้าใจที่ครอบคลุม
ทำความเข้าใจ Rotigotine: การส่งยาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการพาร์กินสันและ RLS
Rotigotine เป็นยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นโดปามีน (Dopamine Agonist) โดยตรง คล้ายกับ Pramipexole แต่มีความแตกต่างในรูปแบบการบริหารยา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
กลไกการออกฤทธิ์ของ Rotigotine
Rotigotine ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นตัวรับโดปามีน (dopamine receptors) ในสมอง โดยเฉพาะตัวรับชนิด D2 และ D3 ซึ่งเป็นตัวรับที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวและอารมณ์ การกระตุ้นตัวรับเหล่านี้จะช่วยเลียนแบบการทำงานของโดปามีนตามธรรมชาติ ทำให้สมองสามารถส่งสัญญาณประสาทได้ดีขึ้น บรรเทาอาการที่เกิดจากการขาดโดปามีนในโรคพาร์กินสัน
จุดเด่นของ Rotigotine คือการเป็น ยาแบบแผ่นแปะผิวหนัง (Transdermal Patch) ซึ่งหมายความว่าตัวยาจะถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง การส่งยาอย่างต่อเนื่องนี้ช่วยให้ระดับยาในเลือดคงที่ ลดความผันผวนของอาการที่อาจเกิดขึ้นกับการรับประทานยาชนิดเม็ดหลายครั้งต่อวัน
ประโยชน์สำคัญของ Rotigotine
Rotigotine มีข้อดีและบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะต่างๆ:
- รักษาโรคพาร์กินสัน:
- ในระยะเริ่มต้น: มักใช้เป็นยาเดี่ยวเพื่อควบคุมอาการ เช่น อาการสั่น การเคลื่อนไหวช้า และกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ช่วยชะลอการใช้ Levodopa ออกไปได้
- ในระยะดำเนินไปของโรค: ใช้ร่วมกับ Levodopa เพื่อลดช่วง “ยาหมดฤทธิ์” (Off periods) และลดความผันผวนของอาการที่เกิดจากการใช้ Levodopa ในระยะยาว
- ในระยะเริ่มต้น: มักใช้เป็นยาเดี่ยวเพื่อควบคุมอาการ เช่น อาการสั่น การเคลื่อนไหวช้า และกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ช่วยชะลอการใช้ Levodopa ออกไปได้
- รักษากลุ่มอาการขาอยู่ไม่สุข (Restless Legs Syndrome – RLS): Rotigotine มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการไม่สบายขา อาการคันยิบๆ หรือความรู้สึกอยากขยับขาที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืน ซึ่งรบกวนการนอนหลับ ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- ความสะดวกในการใช้งาน: การเป็นแผ่นแปะผิวหนังวันละครั้ง ช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยา หรือผู้ที่ต้องรับประทานยาหลายชนิด
ขนาดยาและการบริหารยา Rotigotine ที่ถูกต้อง
การใช้ Rotigotine ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ขนาดยาจะถูกปรับตามอาการและการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละราย:
- รูปแบบยา: เป็นยาในรูป แผ่นแปะผิวหนัง (Transdermal Patch) ซึ่งจะให้ยาอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องเปลี่ยนแผ่นแปะใหม่ทุกวันในเวลาเดียวกัน
- วิธีการใช้:
- เลือกบริเวณผิวหนังที่สะอาด แห้ง และไม่มีขน เช่น ท้อง หน้าท้อง ต้นขา สะโพก ไหล่ หรือต้นแขน
- แปะแผ่นแปะเพียง 1 แผ่นต่อวัน และเปลี่ยนตำแหน่งการแปะทุกวันเพื่อป้องกันการระคายเคืองผิวหนัง
- ห้ามใช้แผ่นแปะในบริเวณที่มีรอยแดง บาดแผล หรือระคายเคือง
- หลังจากแกะแผ่นแปะออก ให้ล้างมือให้สะอาด
- การเริ่มต้นยา: แพทย์จะเริ่มต้นด้วยขนาดยาที่ต่ำมาก และค่อยๆ เพิ่มขนาดยาอย่างช้าๆ ในช่วงหลายสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้และลดผลข้างเคียง
- ข้อควรจำ: ห้ามหยุดยา Rotigotine ทันทีโดยไม่ปรึกษาแพทย์ การหยุดยาอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการถอนยา (Withdrawal Syndrome) ซึ่งอาจทำให้เกิดไข้สูง กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง หรืออาการคล้ายพาร์กินสันที่แย่ลงได้
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ Rotigotine
เช่นเดียวกับยาอื่น ๆ Rotigotine อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้:
- อาการทางผิวหนังบริเวณที่แปะ: ผื่นแดง คัน หรือระคายเคืองบริเวณที่แปะแผ่นยา ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อย
- อาการง่วงซึม/หลับใน: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยและอาจเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหันในระหว่างวัน โดยไม่รู้สึกตัวล่วงหน้า
- คลื่นไส้ อาเจียน: มักจะดีขึ้นเมื่อร่างกายปรับตัวได้
- วิงเวียนศีรษะ/ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension): อาจทำให้รู้สึกหน้ามืดเมื่อลุกขึ้นยืนเร็วๆ
- อาการประสาทหลอน/หลงผิด: พบได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือเมื่อใช้ยาในปริมาณสูง
- ปัญหาด้านพฤติกรรม: เช่น การติดการพนัน (Pathological Gambling), การใช้จ่ายมากเกินไป (Compulsive Spending), พฤติกรรมทางเพศที่มากเกินไป (Hypersexuality), หรือการรับประทานอาหารมากเกินไป (Binge Eating) ซึ่งผู้ป่วยหรือผู้ดูแลควรสังเกตและแจ้งแพทย์ทันที
- การเคลื่อนไหวผิดปกติ (Dyskinesia): อาจเกิดขึ้นได้เมื่อใช้ร่วมกับ Levodopa
- บวมบริเวณขาหรือเท้า:
หากผู้ป่วยมีอาการแพ้รุนแรง (เช่น ผื่นขึ้นทั่วตัว, บวมที่ใบหน้า/ลิ้น/ลำคอ, หายใจลำบาก), เจ็บหน้าอก, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, หรือมีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์/พฤติกรรมอย่างผิดปกติและรุนแรง ควรติดต่อแพทย์ทันที
ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติมที่สำคัญ
เพื่อให้การรักษาด้วย Rotigotine มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด ควรพิจารณาคำแนะนำเหล่านี้:
- แจ้งประวัติสุขภาพ: ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีปัญหาเกี่ยวกับไต, ความดันโลหิตต่ำ, มีปัญหาด้านสุขภาพจิต, มีประวัติพฤติกรรมติดการพนัน, มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ, หรือมีปัญหาผิวหนัง
- ปฏิกิริยาระหว่างยา: Rotigotine อาจทำปฏิกิริยากับยาบางชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรทุกชนิดที่กำลังรับประทานอยู่เสมอ
- การตั้งครรภ์และให้นมบุตร: หากกำลังตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงและประโยชน์
- การขับขี่และการใช้เครื่องจักร: เนื่องจากยาอาจทำให้ง่วงซึมอย่างกะทันหัน ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขับขี่หรือการทำงานกับเครื่องจักรที่อาจเป็นอันตราย จนกว่าจะทราบว่ายาชนิดนี้มีผลต่อตนเองอย่างไร
- การจัดการแผ่นแปะ: ควรระมัดระวังเมื่อทิ้งแผ่นแปะที่ใช้แล้ว เนื่องจากยังมีตัวยาอยู่ ควรพับครึ่งโดยให้ด้านที่เป็นยาติดกัน และทิ้งในที่ที่ปลอดภัย ห่างจากเด็กและสัตว์เลี้ยง
- การติดตามผลการรักษา: การพบแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินการตอบสนองต่อยา ปรับขนาดยาตามความเหมาะสม และจัดการผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ยี่ห้อยาที่มีส่วนประกอบของ Rotigotine ในประเทศไทย
ในประเทศไทย Rotigotine มีจำหน่ายภายใต้ชื่อการค้าหลักคือ:
- Neupro (นิวโปร): เป็นชื่อการค้าที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดของ Rotigotine ซึ่งมาในรูปแบบแผ่นแปะผิวหนัง มีความแรงหลายระดับ

หมายเหตุสำคัญ: ยาเหล่านี้จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ และต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
แหล่งซื้อยา Rotigotine (ต้องมีใบสั่งแพทย์)
เนื่องจาก Rotigotine จัดเป็น ยาควบคุมพิเศษ ที่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา ผู้ป่วยไม่สามารถซื้อยาเหล่านี้ได้เองโดยไม่มีใบสั่งแพทย์จากสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต
แหล่งที่ผู้ป่วยสามารถขอรับหรือซื้อยาได้ (โดยมีใบสั่งแพทย์):
- โรงพยาบาล: เป็นแหล่งหลักที่ผู้ป่วยจะได้รับยา เนื่องจากมีการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น แพทย์อายุรกรรมระบบประสาท) และมีการจ่ายยาโดยเภสัชกรของโรงพยาบาล พร้อมคำแนะนำในการใช้ยา
- โรงพยาบาลรัฐ: เช่น โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข, โรงเรียนแพทย์ต่างๆ (เช่น โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์)
- โรงพยาบาลเอกชน: โรงพยาบาลเอกชนทั่วไปที่มีแผนกประสาทวิทยา
- ร้านขายยาขนาดใหญ่ หรือร้านขายยาที่ร่วมกับโรงพยาบาล:
- บางร้านขายยาขนาดใหญ่ที่มีเภสัชกรประจำ และมีการจำหน่ายยาควบคุมพิเศษ จะสามารถจ่ายยา Rotigotine ได้ แต่ต้องแสดงใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้น เภสัชกรจะตรวจสอบความถูกต้องของใบสั่งยาก่อนจ่ายยา
- ร้านขายยาที่ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาล หรือร้านยาที่ดำเนินการร่วมกับคลินิก/โรงพยาบาล มักจะมีสต็อกยาประเภทนี้
ข้อควรรู้เพิ่มเติม:
- ใบสั่งแพทย์มีความสำคัญสูงสุด: การได้รับยาเหล่านี้จำเป็นต้องผ่านการวินิจฉัยและประเมินจากแพทย์ เนื่องจากขนาดยาและวิธีการใช้ต้องเหมาะสมกับอาการของแต่ละบุคคล และแพทย์จะติดตามผลข้างเคียงและประสิทธิภาพของยา
- ไม่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปที่ไม่มีเภสัชกรประจำ หรือร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ได้รับอนุญาต: การพยายามซื้อยาโดยไม่มีใบสั่งแพทย์อาจได้รับยาปลอม หรือยาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ข้อมูลทั้งหมดที่นำเสนอในบทความนี้ ได้รับการสังเคราะห์จากแหล่งข้อมูลทางการแพทย์และเภสัชกรรมที่เป็นมาตรฐานและเชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องและครบถ้วน:
- Drugs.com: แหล่งข้อมูลยาที่ครอบคลุมสำหรับทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อบ่งใช้ ผลข้างเคียง และปฏิกิริยาระหว่างยาของ Rotigotine.
- Drugs.com: Rotigotine
- Drugs.com: Rotigotine
- Medscape: ฐานข้อมูลทางการแพทย์สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเภสัชวิทยา การใช้ทางคลินิก และผลข้างเคียงของ Rotigotine.
- Medscape: Rotigotine
- Medscape: Rotigotine
- WebMD: เว็บไซต์สุขภาพยอดนิยมที่ให้ข้อมูลยาที่เข้าใจง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ Rotigotine.
- WebMD: Rotigotine Transdermal Patch
- WebMD: Rotigotine Transdermal Patch
- MIMS (Monthly Index of Medical Specialties): ฐานข้อมูลยาที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ยาที่วางจำหน่าย รวมถึงรายละเอียดทางเภสัชวิทยาที่สำคัญ.
- ตำราเภสัชวิทยามาตรฐาน: เช่น Goodman & Gilman’s The Pharmacological Basis of Therapeutics และ Katzung’s Basic & Clinical Pharmacology ซึ่งเป็นแหล่งความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ ผลข้างเคียง และข้อควรพิจารณาทางคลินิกของยา.
- สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ประเทศไทย): หน่วยงานกำกับดูแลยาในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดประเภทยาและเงื่อนไขการจำหน่าย.
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com