อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงมีความซับซ้อนมากกว่าเพศชาย อีกทั้งมีความละเอียดอ่อนและสามารถเกิดโรคได้กับทุกส่วน รวมถึง “ภาวะช่องคลอดอักเสบ” เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์และเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว อีกทั้งเกิดขึ้นบริเวณจุดซ่อนเร้นที่คุณผู้หญิงหลายคนไม่อยากบอกใคร บางคนอาจมีอาการคันและมีกลิ่นไม่พึงประสงค์จนสูญเสียความมั่นใจ
ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) เกิดขึ้นบริเวณภายในช่องคลอด และปากช่องคลอด อาการที่พบบ่อย คืออาการตกขาวผิดปกติ คัน กลิ่น ตกขาวปนเลือด แสบร้อนในช่องคลอด ซึ่งการวินิจฉัยโรคสามารถทำโดยการตรวจภายในร่วมกับการนำตกขาวไปตรวจ เพื่อหาสาเหตุของเกิดช่องคลอดอักเสบว่ามีที่มาจากเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากการจัดการแต่ละสาเหตุมีความแตกต่างกัน
ช่องคลอดอักเสบ เกิดจากสาเหตุใด
ช่องคลอดอักเสบ สามารถเกิดได้กับผู้หญิงทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่มีอายุระหว่าง 15-49 ปี สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อเป็นได้ทั้ง เชื้อรา แบคทีเรีย และโปรโตซัว ซึ่งมีทั้งเชื้อที่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยสามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจภายใน การตรวจดูลักษณะตกขาว และการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดช่องคลอดอักเสบ
- การสวมใส่กางเกงรัดรูป
- สวมใส่เสื้อผ้า หรือชุดชั้นในที่อับชื้น
- การสวนล้างช่องคลอด
- อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย
- ภูมิต้านทานต่ำ
- รับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อเป็นเวลานาน
- ใช้ผ้าอนามัยนอกจากช่วงที่มีประจำเดือนเป็นประจำจนทำให้เกิดการอับชื้น
สัญญาณเตือนช่องคลอดอักเสบ
ช่องคลอดอักเสบอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น มักจะมีหลายสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าคุณกำลังเสี่ยงกับภาวะนี้ ซึ่งอาการที่สามารถสังเกตได้ในเบื้องต้นมี ดังนี้
- ตกขาวปริมาณมากผิดปกติ
- ตกขาวมีสีผิดปกติ เช่น สีเหลือง สีเขียว หรือ ปนเลือด
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็นคาวผิดปกติ
- เจ็บช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์
- อาจมีอาการระคายเคือง หรือคันบริเวณช่องคลอด
ทั้งนี้หากพบว่าตกขาวมีสีที่เปลี่ยนแปลงไปจากสีขาวปกติ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากโรคอื่นๆ ที่นอกเหนือจากช่องคลอดอักเสบได้
วิธีป้องกันและลดโอกาสเสี่ยงช่องคลอดอักเสบ
หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำสะอาด และใช้กระดาษชำระเช็ดทุกครั้งหลังการขับถ่าย ใช่แผ่นอนามัยเฉพาะช่วงวันที่มีประจำเดือน และควรหลีกเลี่ยงการใส่กระโปรง หรือกางเกงรัดรูป และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมในการล้างอวัยวะเพศ ควรออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักตามเกณฑ์ที่กำหนด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากไขมันเป็นสารตั้งต้นของการเกิดโรคหลายชนิด อาทิ มะเร็งไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม อาการช่องคลอดอักเสบจะไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนใดๆ แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเช่นกัน อีกทั้งเมื่อเป็นแล้วยังเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น จนอาจนำไปสู่โรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ การใส่ใจรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติของช่องคลอดมีตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ควรรีบพบแพทย์ทันที
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลพญาไท
– โรงพยาบาลวิมุต
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM