การพ่นหมากรักษาโรคเริมเป็นความเชื่อผิด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ บทความนี้อธิบายความเสี่ยงของการใช้วิธีพื้นบ้านที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พร้อมแนะนำวิธีการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัย
โรคเริมคืออะไร
โรคเริม (Herpes simplex infection) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes simplex virus (HSV) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่
- HSV-1 มักทำให้เกิดแผลบริเวณริมฝีปาก ปาก และใบหน้า
- HSV-2 มักทำให้เกิดแผลบริเวณอวัยวะเพศ
เชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลหรือน้ำลายของผู้ติดเชื้อ อาการทั่วไป ได้แก่ แผลพุพองเจ็บ ปวดแสบปวดร้อน คัน หรือเป็นตุ่มน้ำใสที่แตกออกแล้วกลายเป็นแผล
ความเชื่อเรื่องการพ่นหมากเพื่อรักษาเริม
ในหลายพื้นที่ของไทย โดยเฉพาะตามชนบท มีความเชื่อว่าการ เคี้ยวหมากแล้วพ่นน้ำหมากลงบนแผลเริม สามารถช่วยให้แผลแห้งและหายเร็วขึ้น ความเชื่อนี้อาจสืบทอดจากภูมิปัญญาชาวบ้านที่เห็นว่าหมากมีรสฝาดและเฝื่อน จึงคิดว่าสามารถสมานแผลได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ที่ยืนยันว่าการพ่นหมากสามารถรักษาโรคเริมได้ ตรงกันข้ามยังอาจทำให้เกิดอันตรายมากกว่าประโยชน์
อันตรายที่อาจเกิดจากการพ่นหมากรักษาโรคเริม
- การติดเชื้อซ้ำซ้อน (Secondary infection): น้ำหมากที่ออกมาจากปากมีเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา การพ่นลงบนแผลเปิดเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
- การระคายเคืองต่อแผล: ส่วนประกอบในหมาก เช่น แทนนิน อาจทำให้แผลแสบและหายช้าลง
- เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ: การสัมผัสโดยตรงกับแผลเพิ่มโอกาสแพร่กระจายเชื้อเริมไปยังผู้อื่น
- ชะลอการรักษาที่ถูกต้อง: การเชื่อวิธีผิด ๆ ทำให้ผู้ป่วยละเลยการพบแพทย์ ส่งผลให้โรคเป็นซ้ำบ่อยและยากต่อการควบคุม
การรักษาโรคเริมที่ถูกต้อง
การรักษาโรคเริมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยแนวทางการรักษาที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่
- ยาต้านไวรัส (Antiviral drugs): เช่น acyclovir, valacyclovir หรือ famciclovir ใช้ทั้งรูปแบบยากินและยาทา ช่วยลดความรุนแรงของอาการและระยะเวลาของโรค
- การดูแลทั่วไป: พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด รักษาสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผลโดยตรง
- การป้องกันการแพร่เชื้อ: ไม่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า และงดการสัมผัสใกล้ชิดในช่วงที่มีอาการ
บทสรุป
ความเชื่อเรื่องการ พ่นหมากรักษาโรคเริม เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ การรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพควรยึดตามหลักการแพทย์ โดยใช้ยาต้านไวรัสและการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม หากมีอาการควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องเสมอ
“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- World Health Organization. Herpes simplex virus. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/herpes-simplex-virus
- Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Genital Herpes – CDC Fact Sheet. https://www.cdc.gov/std/herpes/stdfact-herpes.htm
- Corey L, Wald A. Genital herpes. In: N Engl J Med. 1999; 342: 736–749.
- Whitley RJ, Roizman B. Herpes simplex viruses. In: Fields Virology, 6th Edition.
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com