Slug: โรคเกลื้อน
เกลื้อน (Tinea Versicolor) หรือที่เรียกว่า Pityriasis Versicolor คือโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นนอกที่พบบ่อย เกิดจากเชื้อราในกลุ่ม Malassezia (ส่วนใหญ่คือ M. furfur หรือ M. globosa) ซึ่งเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของคนเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น จะทำให้เชื้อเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดรอยด่างบนผิวหนัง
ลักษณะเด่นที่สุด คือ รอยด่างที่มีสีแตกต่างจากผิวหนังปกติ (สีขาว, น้ำตาลอ่อน, ชมพู, หรือดำ) โดยเฉพาะบริเวณ ลำตัว หน้าอก แผ่นหลัง และต้นคอ

การออกฤทธิ์ผ่านพฤติกรรม
เชื้อรา Malassezia ก่อให้เกิดรอยโรคบนผิวหนังผ่านกลไก 2 ลักษณะ:
- การผลิตกรด (Azelaic Acid): เชื้อราจะผลิตกรดชนิดหนึ่งชื่อ Azelaic Acid ซึ่งจะไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว (Melanin) ในเซลล์เม็ดสี (Melanocytes) ทำให้เกิดรอยด่างสี ขาว หรือ จางลง (Hypopigmentation)
- การกระตุ้นเม็ดสี: ในบางราย เชื้อราอาจกระตุ้นให้เกิดรอยด่างสี เข้มขึ้น (Hyperpigmentation) (สีน้ำตาลหรือดำ) โดยเฉพาะเมื่อผิวสัมผัสแสงแดด
พฤติกรรมที่เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดเกลื้อน:
- ความชื้นและเหงื่อ: การอาศัยอยู่ในสภาพอากาศร้อนชื้น และการมีเหงื่อออกมาก ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
- ผิวมัน: เชื้อรา Malassezia ชอบน้ำมัน (Sebum) บนผิวหนัง ทำให้ผู้ที่มีผิวมันมีความเสี่ยงสูงขึ้น
- การใส่เสื้อผ้าอับชื้น: การใส่เสื้อผ้าที่เปียกหรืออับชื้นเป็นเวลานานช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเชื้อ
5 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่สามารถทำได้ทันทีเพื่อรักษาเกลื้อน
- ใช้ยาทาต้านเชื้อรา (Topical Antifungals): หากเป็นเกลื้อนเฉพาะจุดเล็ก ๆ ให้ใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole, Clotrimazole หรือ Miconazole ทาบริเวณรอยโรคเป็นประจำ
- ใช้แชมพูยาฆ่าเชื้อรา: หากเป็นเกลื้อนหลายจุดหรือบริเวณกว้าง ให้ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Selenium Sulfide หรือ Ketoconazole (เช่น Nizoral) ชโลมทิ้งไว้บนผิวที่แห้งประมาณ 5-10 นาที ก่อนอาบน้ำ จากนั้นล้างออก ทำติดต่อกันตามคำแนะนำของแพทย์/เภสัชกร [1]
- ดูแลความสะอาดและลดความชื้น: หลังอาบน้ำหรือออกกำลังกาย ควรเช็ดตัวให้แห้งสนิททันที และหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าอับชื้นหรือคับแน่น
- หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง: แสงแดดจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสี ทำให้รอยด่างสีขาวเห็นชัดขึ้น (ในกรณี Hypopigmentation) หรือรอยด่างสีเข้มมีสีเข้มขึ้น ควรทาครีมกันแดด
- รักษาต่อเนื่องแม้รอยโรคหายแล้ว: รอยด่างอาจคงอยู่แม้เชื้อราจะถูกกำจัดไปแล้ว (นานถึง 6 เดือน) และควรใช้ยาป้องกันการกลับเป็นซ้ำตามที่แพทย์สั่ง
อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรือป้องกัน
เกลื้อนเป็นโรคติดเชื้อภายนอกที่เน้นการรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา แต่การเสริมอาหารบางชนิดอาจช่วยสนับสนุนสุขภาพผิวและภูมิคุ้มกัน:
- Zinc (สังกะสี): มีบทบาทในการควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน และสุขภาพผิวโดยรวม
- Probiotics (โพรไบโอติกส์): ช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อซ้ำได้

ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
- การวินิจฉัย: ควรรีบพบแพทย์ผิวหนังเพื่อยืนยันว่าเป็นเกลื้อนจริง ไม่ใช่โรคผิวหนังอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน (เช่น โรคด่างขาว หรือสะเก็ดเงิน)
- รอยด่างจะหายช้า: แม้ว่าเชื้อราจะถูกกำจัดแล้ว แต่รอยด่าง (โดยเฉพาะรอยสีขาว) จะไม่หายไปทันที แต่ต้องรอให้ผิวสร้างเม็ดสีใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน [2]
- การกลับเป็นซ้ำสูง: เกลื้อนมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้น หากมีการกลับเป็นซ้ำบ่อยครั้ง แพทย์อาจพิจารณาให้ยารับประทานฆ่าเชื้อรา หรือให้ใช้แชมพูยา (Selenium Sulfide/Ketoconazole) สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
“ข้อมูลในบทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้น ไม่สามารถใช้ทดแทนการปรึกษาและวินิจฉัยจากแพทย์หรือเภสัชได้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อใช้ยา หรือมีปัญหาสุขภาพ”

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. โรคเกลื้อน (Pityriasis versicolor). [ข้อมูลสาเหตุและวิธีการรักษาด้วยยาทา]
- โรงพยาบาลกรุงเทพ. โรคเกลื้อน…อาการที่เห็นบนผิวหนังไม่ใช่โรคด่างขาว. [ข้อมูลลักษณะอาการและการหายของรอยด่าง]
- ราชวิทยาลัยแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย. โรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา. [ข้อมูลเชื้อรา Malassezia และปัจจัยกระตุ้น]
เรียบเรียงโดย (Compiled by) : www.chulalakpharmacy.com










