มะเร็ง โรคร้ายที่ทุกคนไม่อยากให้เข้ามาย่างกายยังร่างกายของตัวเอง และ คนที่ตัวเองรัก โรคมะเร็งเองก็มีความหลากหลายของตำแหน่งที่เกิดขึ้นบนร่างกาย ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหารอย่างมะเร็งลำไส้ หรือ มะเร็งกระเพาะอาหาร ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ที่ผิวหนังก็ยังปรากฎอาการมะเร็งผิวหนังด้วย ซึ่งเราจะขอพาทุกท่านไปทำความเข้าใจกับมะเร็งผิวหนัง อาการที่ควรระวัง
มะเร็งผิวหนัง อาการเป็นอย่างไร ?
โรคร้ายที่ทุกคนคงคุ้นหู “มะเร็งผิวหนัง” อาการของมะเร็งผิวหนังที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง เราจำเป็นต้องรู้และสังเกตอาหารได้ด้วยตนเอง โดยมะเร็งผิวหนังที่คุณสามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองมีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกัน มีดังนี้
1.มะเร็งผิวหนังชนิดสแควมัสเซลล์ หรือ Squamous Cell Carcinoma
มะเร็งผิวหนัง อาการที่ปรากฎจะเกิดเป็นตุ่มนูนแดง หรือ บางครั้งก็ออกเป็นสีชมพู ขึ้นเป็นจุด หรือ เป็นกลุ่มบนผิวหนัง อาจมองเห็นเป็นขุย และ มีอาการตกสะเก็ดร่วมด้วย เมื่อกด หรือ สัมผัส จะรู้สึกได้ถึงความเจ็บ และ ความเจ็บนี้จะค่อย ๆ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับขนาดของแผลที่ขยายใหญ่ขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ก็จะมีเลือดปรากฎออกมาได้ง่ายในบริเวณดังกล่าวอีกด้วย
2.มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ หรือ Basal Cell Carcinoma
อาการมะเร็งผิวหนัง ระยะแรกของมะเร็งชนิดนี้จะปรากฎเป็นตุ่มเรียบสีแดง หรือ สีชมพู ซึ่งจะมีลักษณะที่แตกต่างจากมะเร็งผิวหนังชนิดสแควมัสเซลล์ก็คือ มีลักษณะปรากฎของเส้นเลือดฝอยที่มีขนาดเล็กที่มีเลือดออกได้ และ เกิดเป็นแผลเรื้อรังได้ แต่มะเร็งผิวหนัง อาการจากชนิดเบซัลเซลล์จะโตขึ้นอย่างช้า ๆ หลาย ๆ ท่านจึงไม่ค่อยเห็นถึงความผิดปกติ หรือ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
3.มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา หรือ Melanoma
มะเร็งผิวหนัง อาการที่คล้ายคลึงกับไฝ หรือ ขี้แมลงวัน แต่การโตจะเกิดขึ้นเร็วมาก และ ทำให้เกิดความไม่สม่ำเสมอของสีผิว รวมไปถึงเกิดเป็นแผลตกสะเก็ดและเป็นมะเร็งผิวหนัง อาการคันให้รู้สึกรำคาญใจอีกด้วย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง มีดังนี้
- พันธุกรรมเป็นเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ที่มีประวัติของบุคคลในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งผิวหนังมาก่อนจะเสี่ยงเป็นโรคนี้ด้วย
- ความผิดปกติของเม็ดสี โดยเฉพาะเม็ดสีชนิดยูเมลานินที่ทำหน้าที่ป้องกันมะเร็งผิวหนังให้กับร่างกายของคุณตามธรรมชาติ แต่คนผิวขาวมักมีเม็ดสีชนิดนี้น้อย จึงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง
- การรับแสงแดดมากเกินไป ตัวกระตุ้นที่สำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังก็คือ ปริมาณ และ ความเข้มของแสงแดด
- การสัมผัสกับสารเคมีรุนแรง สารเคมีรุนแรงเหล่านั้นจะกัดกร่อนชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบางลง และ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังที่เพิ่มสูงขึ้น
- การรับประทานยาบางชนิด การรักษาโรค หรือ การรับประทานยาบางชนิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน
อาการและสัญญาณเตือนมะเร็งผิวหนัง
โรคมะเร็งผิวหนังมีอาการที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา มือ ใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ ทั้งนี้อาการของมะเร็งผิวหนังจะแตกต่างกันตามชนิดของมะเร็งผิวหนัง ดังนี้
- มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ อาการที่เห็นได้ชัดคือจะมีตุ่มเนื้อสีชมพู แดง มีลักษณะผิวเรียบมัน และมักจะมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ กระจายอยู่บริเวณตุ่มเนื้อ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย ตุ่มเนื้อจากมะเร็งชนิดนี้จะโตช้า และจะโตไปเรื่อย ๆ จนอาจแผลแตกในที่สุด ทำให้มีเลือดออกและกลายเป็นแผลเรื้อรัง
- มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ อาการของมะเร็งชนิดนี้จะเริ่มต้นจากตุ่มเนื้อสีชมพู หรือแดง และด้านบนอาจมีลักษณะเป็นขุย หรือตกสะเก็ด เมื่อสัมผัสบริเวณแผลจะรู้สึกแข็ง เลือดออกง่าย แผลจะค่อย ๆ ขยายขนาดไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
- มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา เนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของมะเร็งชนิดนี้ เริ้มต้นจะมีลักษณะคล้ายกับไฝหรือขี้แมลงวัน แต่จะโตเร็ว ขอบเขตไม่เรียบและอาจมีสีไม่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ที่บริเวณแผลอาจตกสะเก็ดหรือมีอาการเลือดออกด้วยเช่นกัน
การตรวจโรคมะเร็งผิวหนัง
- การตรวจเบื้องต้นด้วยตนเอง สามารถทำได้ด้วยการสังเกตความผิดปกติของผิวหนัง หากมีตุ่มเนื้อที่ดูผิดปกติ หรือมีแผลเรื้อรังบริเวณผิวหนังที่มักจะโดนแดดบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจให้ชัดเจน
- การวินิจฉัยโดยแพทย์ ด้วยการสังเกตความผิดปกติของผิวหนังอีกครั้ง หากบริเวณที่ผิดปกตินั้นมีความน่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อนำตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่ต้องสงสัยไปทำการตรวจด้วยวิธีทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ
วิธีการรักษามะเร็งผิวหนัง มีดังนี้
- การจี้ด้วยไฟฟ้า
- การขูดออก
- การจี้ด้วยความเย็น
- การผ่าตัดออก
- การให้เคมีบำบัด
- การฉายรังสี
ป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ ดังนี้
1.การทาครีมกันแดดสามารถป้องกันได้ทั้งรังสียูวีเอ และ รังสียูวีบี ยิ่งครีมกันแดดสมัยใหม่นั้นยังสามารถป้องกันรังสีสีฟ้าที่ล้วนก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง
2.การป้องกันผิวทางกายภาพทั้ง การกางร่ม สวมใส่เสื้อแขนยาว ขายาว หรือ การสวมใส่หมวก ล้วนช่วยลดความรุนแรงที่ร่างกายของคุณได้รับจากแสงแดดได้ทั้งสิ้น
3.หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารอันตราย สารอันตรายจะทำให้ผิวหนังเกิดการกัดกร่อน บางลง และ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง การหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเหล่านี้จึงเป็นการป้องกันมะเร็งผิวหนัที่ต้นเหตุ
4.หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด แสงแดดตัวร้ายทำลายผิว ก่อมะเร็ง คุณจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดทั้งปริมาณ และ ความเข้ม
5.การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี วิตามินซีมักอุดมอยู่ในผักและผลไม้ ซึ่งช่วยให้ร่างกายและผิวพรรณของคุณสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระจากแสงแดดที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้
6.ตรวจสุขภาพประจำปี โดยควรตรวจเป็นประจำในทุกปี เพื่อให้คุณสามารถเฝ้าติดตามความผิดปกติต่าง ๆ ของผิวพรรณที่เกิดขึ้น และ สามารถรักษาได้ทันหากคุณเสี่ยงหรือเป็นโรคมะเร็งผิวหนังแล้วก็ตาม
สรุป : การปกป้องผิวของคุณจากการทำลายของรังสียูวีด้วยครีมกันแดด เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพผิวและลดความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังและฝ้า กระ การเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับประเภทผิวของคุณ และการทาครีมกันแดดซ้ำอย่างถูกต้องสามารถช่วยให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากแสงแดดได้สูงสุด
หากท่านมีปัญหาสุขภาพ หรือต้องการปรึกษาการใช้ผลิตภัณฑ์และการใช้ยาอย่างถูกวิธี สามารถเข้ามาปรึกษาได้ที่หน้าร้านขายยาจุฬาลักษณ์เภสัชทุกสาขา หรือใช้บริการให้คำปรึกษา ช่องทางออนไลน์ได้ทุกช่องทางของเรานะคะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา
– โรงพยาบาลบีเอ็นเอช
– Eucerin Thailand
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM