การวินิจฉัยและระยะของมะเร็งปอด: รู้ได้อย่างไรว่าเป็นระยะไหน?
เมื่อมีอาการที่น่าสงสัยว่าอาจเป็น มะเร็งปอด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเข้าสู่กระบวนการ วินิจฉัย ที่แม่นยำและรวดเร็ว เพื่อให้แพทย์สามารถประเมิน ระยะของโรค ได้อย่างถูกต้อง การรู้ว่ามะเร็งปอดอยู่ในระยะใดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นตัวกำหนดแนวทางการรักษาและพยากรณ์โรค บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจขั้นตอนการวินิจฉัยและวิธีการแบ่งระยะของมะเร็งปอด เพื่อเตรียมความพร้อมและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีข้อมูลครับ
ความสำคัญของการวินิจฉัยและการระบุระยะโรคที่แม่นยำ
การวินิจฉัยมะเร็งปอดที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงการระบุระยะของโรค (Staging) ที่แม่นยำ มีความสำคัญอย่างมากด้วยเหตุผลดังนี้:
- กำหนดแนวทางการรักษา: แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด รังสีรักษา ยามุ่งเป้า หรือภูมิคุ้มกันบำบัด โดยพิจารณาจากชนิดและระยะของมะเร็ง
- ประเมินโอกาสในการรักษา: การรู้ระยะโรคช่วยให้แพทย์สามารถบอกแนวโน้มการรักษาและพยากรณ์โรคได้
- หลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่จำเป็น: การวินิจฉัยที่แม่นยำช่วยให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาที่อาจไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสม
ขั้นตอนการวินิจฉัยมะเร็งปอด
เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งปอด จะมีการตรวจหลายขั้นตอนเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและประเมินการแพร่กระจายของโรค [1, 2]:
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการ ประวัติการเจ็บป่วย การสูบบุหรี่ การสัมผัสสารเคมี และประวัติครอบครัว รวมถึงการตรวจร่างกายเบื้องต้น
- การตรวจภาพรังสี (Imaging Tests):
- เอกซเรย์ปอด (Chest X-ray): เป็นการตรวจเบื้องต้นที่สามารถเห็นความผิดปกติของปอดได้ เช่น ก้อนเนื้อ หรือน้ำในช่องปอด
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): ให้ภาพปอดและอวัยวะข้างเคียงที่ละเอียดกว่าเอกซเรย์ธรรมดา ช่วยในการประเมินขนาด ตำแหน่ง และการแพร่กระจายของก้อนเนื้อ
- เพทซีทีสแกน (PET/CT Scan): เป็นการตรวจที่ละเอียดมาก โดยฉีดสารกัมมันตรังสีเข้าไปในร่างกาย สารนี้จะไปสะสมในเซลล์มะเร็ง ทำให้เห็นตำแหน่งของเซลล์มะเร็งได้ชัดเจน ทั้งในปอดและบริเวณอื่นๆ ที่อาจมีการแพร่กระจาย
- เอ็มอาร์ไอสมอง (Brain MRI): หากสงสัยว่าอาจมีการแพร่กระจายไปยังสมอง
ภาพ CT Scan ที่แสดงมะเร็งปอด
- การเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ/สารคัดหลั่ง (Biopsy): เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการยืนยันการวินิจฉัยมะเร็ง โดยแพทย์จะเก็บชิ้นเนื้อหรือสารคัดหลั่งจากบริเวณที่สงสัย เพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยาและหาการกลายพันธุ์ของยีน
- การส่องกล้องหลอดลม (Bronchoscopy): ใช้กล้องขนาดเล็กสอดผ่านปากหรือจมูกลงไปในหลอดลม เพื่อตรวจดูความผิดปกติและเก็บชิ้นเนื้อ
- การเจาะปอด (Transthoracic Needle Biopsy – TTNB): ใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านผนังทรวงอกเข้าไปในปอด เพื่อเก็บชิ้นเนื้อ โดยใช้ CT Scan หรือ Ultrasound เป็นตัวนำทาง
- การผ่าตัด (Surgical Biopsy): อาจจำเป็นในบางกรณี เช่น การผ่าตัดเปิดทรวงอก (Thoracotomy) หรือการผ่าตัดส่องกล้องทรวงอก (VATS) เพื่อเก็บชิ้นเนื้อขนาดใหญ่
- การตรวจเสมหะ (Sputum Cytology): ตรวจหาเซลล์มะเร็งจากเสมหะ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไอมีเสมหะ
- การเจาะน้ำในเยื่อหุ้มปอด (Thoracentesis): หากมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด จะเจาะเก็บน้ำมาตรวจหาเซลล์มะเร็ง
- การตรวจทางพันธุกรรม (Molecular Testing): เมื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอดแล้ว โดยเฉพาะชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) แพทย์จะนำชิ้นเนื้อหรือเลือดไปตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่น EGFR, ALK, ROS1, PD-L1 เป็นต้น [3] ผลการตรวจนี้มีความสำคัญอย่างมากในการเลือกใช้ ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) หรือ ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
การแบ่งระยะของมะเร็งปอด (Staging)
หลังจากวินิจฉัยและทำการตรวจเพิ่มเติมครบถ้วนแล้ว แพทย์จะทำการแบ่งระยะของมะเร็งปอด ซึ่งเป็นการประเมินว่ามะเร็งมีการลุกลามไปมากน้อยเพียงใด [4]:
- มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC): มักแบ่งเป็น 2 ระยะง่ายๆ คือ
- ระยะจำกัด (Limited Stage): มะเร็งอยู่ในปอดข้างเดียว และต่อมน้ำเหลืองบริเวณเดียวกัน อาจสามารถให้รังสีรักษาครอบคลุมได้
- ระยะลุกลาม (Extensive Stage): มะเร็งแพร่กระจายไปยังปอดอีกข้างหนึ่ง อวัยวะอื่นๆ หรือน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
- มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC): แบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ โดยพิจารณาจากขนาดของก้อนเนื้อ (Tumor), การแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง (Nodes), และการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ (Metastasis) หรือที่เรียกว่าระบบ TNM Staging
- ระยะที่ 1 (Stage I): ก้อนเนื้อมีขนาดเล็ก และยังจำกัดอยู่ภายในปอด ไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ (มีโอกาสรักษาหายขาดสูงด้วยการผ่าตัด)
- ระยะที่ 2 (Stage II): ก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น หรือแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณปอดข้างเดียวกันแล้ว
- ระยะที่ 3 (Stage III): ก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก หรือแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ห่างออกไป หรือลามไปยังโครงสร้างใกล้เคียง เช่น ผนังทรวงอก หัวใจ
- ระยะที่ 4 (Stage IV): มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะที่อยู่ห่างไกลออกไป เช่น สมอง กระดูก ตับ หรือต่อมหมวกไต (ระยะนี้มักเป็นการรักษาเพื่อควบคุมโรคและบรรเทาอาการ)
สรุป: ข้อมูลคือพลังในการต่อสู้มะเร็งปอด
การวินิจฉัยที่แม่นยำและการรู้ระยะของมะเร็งปอดอย่างชัดเจน เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการวางแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสในการมีชีวิตที่ดีขึ้น หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการหรือขั้นตอนการวินิจฉัยมะเร็งปอด อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับการตรวจประเมินอย่างละเอียดและถูกต้อง ข้อมูลที่ครบถ้วนจะช่วยให้คุณและแพทย์สามารถร่วมกันวางแผนการดูแลสุขภาพปอดได้อย่างมั่นใจที่สุดครับ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- American Cancer Society. (2024, May 01). Tests for Lung Cancer. Retrieved from https://www.cancer.org/cancer/types/lung-cancer/detection-diagnosis-staging/how-diagnosed.html
- Mayo Clinic. (2024, Mar 02). Lung cancer – Diagnosis & treatment. Retrieved from https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/lung-cancer/diagnosis-treatment/drc-20202543
- National Cancer Institute. (n.d.). Molecular Testing for Lung Cancer. Retrieved from https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/genetics/lung-cancer-genetics
- American Cancer Society. (2024, May 01). Stages of Lung Cancer. Retrieved from https://www.cancer.org/cancer/types/lung-cancer/detection-diagnosis-staging/staging-lung-cancer.html
เรียบเรียงข้อมูลโดย www.chulalakpharmacy.com