โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension): ภัยเงียบที่คุกคามหัวใจและหลอดเลือด สัญญาณเตือน ภาวะแทรกซ้อน และแนวทางการควบคุม เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยจากความดันโลหิตสูง

ทำความเข้าใจโรคความดันโลหิตสูง! เรียนรู้สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง, การวัดค่าความดันที่ถูกต้อง, สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง (ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ, ตามัว), แนวทางการวินิจฉัย, แนวทางการดูแลรักษา (ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, ยาลดความดัน), ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง (โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคไต), บทบาทอาหารเสริม, และวิธีดูแลตัวเองเพื่อควบคุมความดันและลดความเสี่ยง



โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) คืออะไร?

โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) คือภาวะที่ แรงดันของเลือด (Blood Pressure) ที่กระทำต่อผนังหลอดเลือดแดงสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และหากความดันโลหิตสูงเรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลให้หลอดเลือดและอวัยวะสำคัญทั่วร่างกายเสื่อมสภาพเร็วขึ้น นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ความดันโลหิต ประกอบด้วยตัวเลขสองค่า:

  • ค่าตัวบน (Systolic Blood Pressure): คือค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว เพื่อสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจ
  • ค่าตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure): คือค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว เพื่อรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ

เกณฑ์การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง (ตามแนวทางของสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย):

  • ความดันโลหิตปกติ: น้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท
  • ความดันโลหิตสูงระดับเริ่มต้น (Prehypertension): ค่าตัวบน 120-139 หรือค่าตัวล่าง 80-89 มิลลิเมตรปรอท (เป็นภาวะที่ควรเฝ้าระวังและปรับพฤติกรรม)
  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension):
    • ระดับ 1: ค่าตัวบน 140-159 หรือค่าตัวล่าง 90-99 มิลลิเมตรปรอท
    • ระดับ 2: ค่าตัวบน ≥ 160 หรือค่าตัวล่าง ≥ 100 มิลลิเมตรปรอท

ความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ (ประมาณ 90-95%) เป็นชนิดไม่ทราบสาเหตุ (Primary หรือ Essential Hypertension) ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ส่วนน้อย (ประมาณ 5-10%) เกิดจากสาเหตุอื่นที่สามารถระบุได้ (Secondary Hypertension) เช่น โรคไต, โรคต่อมหมวกไต, โรคไทรอยด์, หรือการใช้ยาบางชนิด



1. สัญญาณเตือนของโรคความดันโลหิตสูง: ภัยเงียบที่ไม่มีอาการ

โรคความดันโลหิตสูงมักถูกเรียกว่า “ฆาตกรเงียบ (The Silent Killer)” เนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะ ไม่มีอาการใดๆ ในระยะแรก จนกว่าความดันโลหิตจะสูงมาก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นแล้ว ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสในการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

อย่างไรก็ตาม หากความดันโลหิตสูงมาก หรือเป็นมานาน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ดังนี้:

  • ปวดศีรษะ โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย หรือปวดตอนเช้า (Headache, especially at the back of the head or in the morning):
    • มักเป็นอาการที่พบบ่อยเมื่อความดันสูงมาก
  • เวียนศีรษะ หน้ามืด (Dizziness, Lightheadedness):
  • เหนื่อยง่ายผิดปกติ (Unusual Fatigue):
  • ใจสั่น (Palpitations):
  • ตามัว หรือมีจุดดำลอยไปมาในตา (Blurred Vision or Floaters):
    • เกิดจากเส้นเลือดในตาได้รับผลกระทบ
  • เลือดกำเดาไหลบ่อย (Frequent Nosebleeds):
  • เจ็บหน้าอก (Chest Pain):
    • อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ
  • หายใจลำบาก (Shortness of Breath):
    • อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่หัวใจ หรือปอด
  • ปัสสาวะมีเลือดปน (Hematuria):
    • หากมีภาวะแทรกซ้อนที่ไต
  • ชา หรืออ่อนแรงครึ่งซีก (Numbness or Weakness on one side of the body):
    • เป็นสัญญาณอันตรายของภาวะหลอดเลือดสมอง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่มีอาการใดๆ เพื่อคัดกรองความเสี่ยงและตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะแรก



2. สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง: ใครคือกลุ่มเสี่ยง?

สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุนั้นเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ส่วนชนิดทุติยภูมิ (Secondary Hypertension) จะมีสาเหตุที่ชัดเจน ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:

  • กรรมพันธุ์/ประวัติครอบครัว (Family History):
    • หากมีพ่อแม่ พี่น้อง หรือญาติสายตรงเป็นโรคความดันโลหิตสูง จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • อายุที่เพิ่มขึ้น (Increasing Age):
    • ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 40-50 ปีขึ้นไป เนื่องจากหลอดเลือดจะเริ่มแข็งตัวและมีความยืดหยุ่นลดลง
  • ภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน (Overweight or Obesity):
    • การมีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก จะเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด
  • การรับประทานอาหารรสเค็ม หรือมีโซเดียมสูง (High Sodium Intake):
    • โซเดียมทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาตรเลือดและแรงดันในหลอดเลือดเพิ่มขึ้น
  • การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป (Excessive Alcohol Consumption):
  • การสูบบุหรี่ (Smoking):
    • สารเคมีในบุหรี่ทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบลง
  • ขาดการออกกำลังกาย (Physical Inactivity):
    • ทำให้หัวใจและหลอดเลือดไม่แข็งแรง
  • ความเครียด (Stress):
    • ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
  • โรคประจำตัวบางชนิด:
    • โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus): มักพบร่วมกับความดันโลหิตสูง
    • ภาวะไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia):
    • โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease):
    • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea):
    • โรคต่อมไร้ท่อบางชนิด: เช่น โรคของต่อมหมวกไต, โรคไทรอยด์
  • การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด, ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาแก้หวัดคัดจมูกบางชนิด



3. การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง: การวัดค่าความดันที่ถูกต้อง

การวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงอาศัยการวัดค่าความดันโลหิตที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ แพทย์จะทำการวัดหลายครั้งและในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม:

  • 3.1 การซักประวัติและตรวจร่างกาย (History and Physical Examination):
    • แพทย์จะสอบถามอาการ, ประวัติโรคประจำตัว, ยาที่ใช้, ประวัติครอบครัว, พฤติกรรมการใช้ชีวิต และตรวจร่างกายเพื่อประเมินสุขภาพโดยรวม

  • 3.2 การวัดความดันโลหิตในสถานพยาบาล (Office Blood Pressure Measurement):
    • เป็นการวัดมาตรฐาน โดยแพทย์หรือพยาบาลจะวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องวัดที่ได้มาตรฐาน
    • โดยปกติจะวัดอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ในท่านั่งพักอย่างน้อย 5 นาที และใช้แขนข้างเดียวกันในการวัดแต่ละครั้ง
    • วินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง เมื่อมีค่าความดันโลหิตตัวบน ≥ 140 mmHg หรือตัวล่าง ≥ 90 mmHg ที่วัดได้จากการไปพบแพทย์ 2 ครั้งขึ้นไป ในวันต่างกัน

  • 3.3 การวัดความดันโลหิตที่บ้านด้วยตนเอง (Home Blood Pressure Monitoring – HBPM):
    • เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษา ช่วยลดภาวะ “White Coat Hypertension” (ความดันสูงเมื่ออยู่โรงพยาบาล) และทำให้ได้ค่าความดันที่สะท้อนการใช้ชีวิตประจำวัน
    • ผู้ป่วยควรใช้เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติแบบรัดต้นแขนที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน
    • แนะนำให้วัดในตอนเช้าก่อนรับประทานยาและอาหาร และตอนเย็นก่อนนอน วัดครั้งละ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 1 นาที
    • เกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยที่บ้าน: ค่าความดันโลหิตตัวบน ≥ 135 mmHg หรือตัวล่าง ≥ 85 mmHg

  • 3.4 การตรวจวัดความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง (Ambulatory Blood Pressure Monitoring – ABPM):
    • เป็นการติดเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่บ้าน เพื่อวัดความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งขณะตื่นและหลับ ช่วยให้แพทย์เห็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตตลอดทั้งวัน และวินิจฉัยภาวะ “Masked Hypertension” (ความดันปกติที่โรงพยาบาลแต่สูงที่บ้าน) หรือภาวะความดันสูงตอนกลางคืนได้

  • 3.5 การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม (เพื่อหาภาวะแทรกซ้อน หรือสาเหตุทุติยภูมิ):
    • ตรวจเลือด: ตรวจน้ำตาล, ไขมัน, การทำงานของไต (Creatinine, GFR), เกลือแร่ (โซเดียม, โพแทสเซียม)
    • ตรวจปัสสาวะ: ตรวจหาโปรตีนรั่ว หรือความผิดปกติอื่นๆ
    • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram – ECG หรือ EKG): เพื่อประเมินภาวะหัวใจโต
    • ตรวจเอกซเรย์ปอดและหัวใจ (Chest X-ray):
    • ตรวจอัลตราซาวด์ไต (Renal Ultrasound): หากสงสัยสาเหตุจากโรคไต



4. เภสัชจุลศาลและนวัตกรรมการแพทย์: แนวทางการดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูง

เป้าหมายหลักในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงคือการควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย (โดยทั่วไปคือต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท หรือตามที่แพทย์กำหนดเป็นรายบุคคล) เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การรักษาต้องวางแผนโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และปรับตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย:

  • 4.1 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Modification):
    • เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการรักษาและป้องกันความดันโลหิตสูงทุกชนิด และสามารถช่วยลดการใช้ยาได้ในผู้ป่วยบางราย
    • การลดปริมาณโซเดียมในอาหาร (Dietary Sodium Restriction):
      • งดอาหารรสเค็ม, อาหารแปรรูป, อาหารสำเร็จรูป, เครื่องปรุงรสเค็มต่างๆ
      • แนะนำโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่าเกลือประมาณ 1 ช้อนชา)
    • การรับประทานอาหารตามแนวทาง DASH Diet (Dietary Approaches to Stop Hypertension):
      • เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ, โปรตีนไม่ติดมัน และลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว, คอเลสเตอรอล, น้ำตาล
    • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (Regular Physical Activity):
      • แนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิกปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น เดินเร็ว, วิ่งเหยาะๆ, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ) หรือออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training)
    • การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (Weight Management):
      • การลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้
    • การจำกัดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ไม่เกิน 2 แก้วมาตรฐานต่อวันสำหรับผู้ชาย และไม่เกิน 1 แก้วมาตรฐานสำหรับผู้หญิง
    • การเลิกสูบบุหรี่ (Smoking Cessation):
    • การจัดการความเครียด (Stress Management): เช่น การทำสมาธิ, โยคะ, การทำกิจกรรมผ่อนคลาย

  • 4.2 ยาลดความดันโลหิต (Antihypertensive Medications):
    • แพทย์จะพิจารณาใช้ยาเมื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ตามเป้าหมาย หรือในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อนแล้ว
    • มีหลายกลุ่มยา แต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน และแพทย์อาจใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
      • ยาขับปัสสาวะ (Diuretics): ช่วยให้ร่างกายขับน้ำและโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะ ทำให้ปริมาตรเลือดลดลงและความดันโลหิตลดลง (เช่น Hydrochlorothiazide, Furosemide, Spironolactone)
      • ยาปิดกั้นเบต้า (Beta-Blockers): ทำให้หัวใจเต้นช้าลงและแรงบีบตัวลดลง ลดการหลั่งฮอร์โมนบางชนิดที่เพิ่มความดัน (เช่น Atenolol, Metoprolol, Bisoprolol)
      • ยาปิดกั้นแคลเซียม (Calcium Channel Blockers – CCBs): ทำให้หลอดเลือดคลายตัวและขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น (เช่น Amlodipine, Nifedipine, Diltiazem, Verapamil)
      • ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ ACE (ACE Inhibitors): ขยายหลอดเลือดโดยการยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว (เช่น Enalapril, Lisinopril, Ramipril) มักมีผลข้างเคียงคือไอเรื้อรัง
      • ยากลุ่มปิดกั้นตัวรับ Angiotensin II (Angiotensin Receptor Blockers – ARBs): ออกฤทธิ์คล้าย ACE Inhibitors แต่มีผลข้างเคียงไอเรื้อรังน้อยกว่า (เช่น Losartan, Valsartan, Telmisartan, Olmesartan)
      • ยาอื่นๆ: เช่น Alpha-Blockers, Central Alpha-2 Agonists

  • 4.5 การติดตามความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน (Home Blood Pressure Monitoring – HBPM):
    • ผู้ป่วยควรเรียนรู้วิธีการวัดความดันโลหิตที่บ้านอย่างถูกวิธี และจดบันทึกค่าเพื่อประเมินผลการควบคุมความดันและปรับยา/พฤติกรรมร่วมกับแพทย์

ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยาและวิธีการรักษาที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างและเพื่อการศึกษาเท่านั้น การรักษาโรคความดันโลหิตสูงเป็นเรื่องซับซ้อนและต้องได้รับการวางแผนโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด การใช้ยาหรือการปรับเปลี่ยนขนาดยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ห้ามซื้อยาหรือเลือกการรักษาเองเด็ดขาด เพราะอาจเกิดภาวะความดันต่ำรุนแรง (Hypotension) หรือผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยาได้



5. อาหารเสริมที่ช่วยบำรุง ดูแล หรืออาจมีบทบาทในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง

การใช้อาหารเสริมในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษา หรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เนื่องจากอาหารเสริมบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาลดความดันโลหิต หรือส่งผลต่อร่างกายของผู้ป่วย อาหารเสริมไม่สามารถใช้รักษโรคความดันโลหิตสูงได้ และไม่ควรนำมาใช้ทดแทนการรักษาทางการแพทย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิดอาจมีบทบาทในการช่วยบำรุงร่างกาย หรือช่วยเสริมการควบคุมความดันโลหิตภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์:

  • โพแทสเซียม (Potassium):
    • การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยโพแทสเซียม (เช่น ผักใบเขียว, ผลไม้, มันฝรั่ง, กล้วย) สามารถช่วยถ่วงดุลกับโซเดียมและช่วยลดความดันโลหิตได้
    • ข้อควรระวังสำคัญ: การเสริมโพแทสเซียมในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไต หรือผู้ที่รับประทานยาลดความดันบางชนิด (เช่น ยากลุ่ม ACE Inhibitors หรือ ARBs) เนื่องจากอาจทำให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจได้ ห้ามซื้อโพแทสเซียมเสริมเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์

  • แมกนีเซียม (Magnesium):
    • มีบทบาทในการผ่อนคลายหลอดเลือด การเสริมแมกนีเซียมอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยในบางรายที่มีภาวะขาดแมกนีเซียม

  • แคลเซียม (Calcium):
    • การได้รับแคลเซียมเพียงพอมีความสำคัญต่อสุขภาพหลอดเลือดและกระดูก

  • กรดไขมันโอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids):
    • พบในน้ำมันปลา มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย

  • โคเอนไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10 – CoQ10):
    • เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาว่าอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยในบางราย

  • สารสกัดกระเทียม (Garlic Extract):
    • มีการศึกษาว่าอาจช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย

  • ใยอาหาร (Fiber):
    • การบริโภคอาหารที่มีใยอาหารสูง (ผัก, ผลไม้, ธัญพืช) ช่วยควบคุมน้ำหนักและอาจมีผลดีต่อความดันโลหิต

  • โปรไบโอติกส์ (Probiotics):
    • มีการศึกษาที่น่าสนใจว่าโปรไบโอติกส์บางชนิดอาจมีส่วนช่วยลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย แต่ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติม

ข้อควรระวังสำคัญ: อาหารเสริมทั้งหมดข้างต้นไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้รักษโรคความดันโลหิตสูงได้ การรับประทานอาหารเสริมใดๆ ต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษา หรือนักโภชนาการที่เชี่ยวชาญก่อนเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัว, กำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่, หรืออยู่ในช่วงการรักษาโรคความดันโลหิตสูง การพึ่งพาอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อหัวใจ, สมอง, และไต



6. การดูแลตัวเองและแนวทางการป้องกัน: กุญแจสำคัญสู่การควบคุมความดันโลหิต

การป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และการดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตสูง มีหลักการสำคัญดังนี้:

  • ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ: เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ไม่มีอาการก็ควรตรวจสุขภาพประจำปี และสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง หรือเป็นโรคแล้ว ควรมีเครื่องวัดความดันที่บ้านและวัดอย่างสม่ำเสมอ
  • ควบคุมอาหาร:
    • ลดเค็ม งดอาหารแปรรูป: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง
    • เน้นผัก, ผลไม้, ธัญพืชไม่ขัดสี: รับประทานอาหารตามแนวทาง DASH Diet
    • จำกัดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล:
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ:
  • เลิกสูบบุหรี่:
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์:
  • จัดการความเครียด: หาเวลากิจกรรมผ่อนคลาย
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ:
  • สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง:
    • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด: ห้ามหยุดยาเอง หรือปรับขนาดยาเองเด็ดขาด
    • ไปพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ: เพื่อประเมินผลการรักษาและปรับแผนการดูแล
    • หลีกเลี่ยงยาบางชนิดที่อาจทำให้ความดันสูงขึ้น: เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาแก้หวัดคัดจมูกบางชนิด โดยควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเมื่อไปรับยา
    • ติดตามภาวะแทรกซ้อน: ควรได้รับการตรวจตา, ตรวจเลือด, ตรวจปัสสาวะ เพื่อคัดกรองภาวะแทรกซ้อนอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์



สรุป: โรคความดันโลหิตสูง ภัยเงียบที่ป้องกันและควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงโรคความดันโลหิตสูงเป็นภาวะเรื้อรังที่มักไม่มีอาการในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อ หัวใจ, หลอดเลือดสมอง, ไต, และตา ได้ การ ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ เป็นกุญแจสำคัญในการวินิจฉัย การควบคุมความดันโลหิตให้ได้ตามเป้าหมายด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจัง (ลดเค็ม, ออกกำลังกาย, ควบคุมน้ำหนัก, งดบุหรี่, จำกัดแอลกอฮอล์) และ การรับประทานยาลดความดันโลหิตตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ยาที่ใช้, อาหารเสริมที่มีบทบาทภายใต้คำแนะนำของแพทย์, และ การดูแลตนเองอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและลดความเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนร้ายแรงในระยะยาว


ข้อมูลอ้างอิงและข้อควรระวังสำคัญ:

  • ข้อควรระวังสำคัญ: ข้อมูลยา อาหารเสริม และนวัตกรรมการแพทย์ที่กล่าวมาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและให้ข้อมูลเท่านั้น การวินิจฉัยโรค การเลือกวิธีการรักษา การใช้ยา หรือการปรับเปลี่ยนขนาดยาใดๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiologist) หรืออายุรแพทย์ (Internal Medicine) อย่างเคร่งครัด ห้ามวินิจฉัยโรคด้วยตนเอง หรือซื้อยา อาหารเสริม และเลือกการรักษาโดยไม่ปรึกษาแพทย์เด็ดขาด เพราะอาจเกิดภาวะความดันต่ำรุนแรง (Hypotension) หรือผลข้างเคียงร้ายแรงจากการใช้ยาได้ แพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยคำนึงถึงระดับความดัน, ภาวะแทรกซ้อน, สุขภาพโดยรวม, และปัจจัยอื่นๆ

แหล่งอ้างอิง:

  • สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย. (2565). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคความดันโลหิตสูงในเวชปฏิบัติทั่วไป. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของสมาคมฯ หรือหน้าคู่มือที่เกี่ยวข้อง)
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ข้อมูลโรคความดันโลหิตสูง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์เว็บไซต์ของกรมฯ ที่เกี่ยวข้อง)
  • โรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย (เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี). บทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง. (ยกตัวอย่างบทความจากโรงพยาบาลที่น่าเชื่อถือ)
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.). ข้อมูลยาที่ได้รับอนุมัติในประเทศไทย. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: (โปรดระบุลิงก์ที่เกี่ยวข้องหากต้องการ เช่น ฐานข้อมูลยา)


เรียบเรียงข้อมูลโดย ( Compiled by): www.chulalakpharmacy.com

แชร์

ยังไม่มีบัญชี