อาการไอในเด็กมักเกิดจากหวัดและหายได้ภายใน 2 – 3 สัปดาห์ แต่หากว่าอาการไอนั้นเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นเรื้อรังจนรบกวนชีวิตประจำวัน รบกวนการนอน และอาจรบกวนคนรอบข้างหรือเพื่อนที่โรงเรียน แนะนำให้พบแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกต้องโดยเร็วที่สุด
สาเหตุอาการไอในเด็กได้แก่
สาเหตุจากการติดเชื้อ เช่น
- เชื้อไวรัส อาการเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น หวัด, โพรงจมูกและโพรงไซนัสอักเสบเฉียบพลัน, หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น
- เชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบ โรคปอดบวม
- เชื้อวัณโรค ลักษณะของเด็กไอ 7 แบบที่พ่อแม่ควรรู้
หากทำความเข้าใจการไอแต่ละแบบ อาจช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รับมือและดูแลลูกน้อยได้ดีขึ้นก่อนจะพาเด็กไปพบแพทย์ ซึ่งอาจพบอาการไอในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. ไอเสียงก้อง
เกิดจากทางเดินหายใจส่วนบนมีอาการบวม ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากโรคครูปหรือภาวะกล่องเสียงและหลอดลมอักเสบ เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กมีขนาดเล็ก เมื่อมีอาการบวมเกิดขึ้นจึงอาจส่งผลให้เด็กหายใจลำบาก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีที่มีทางเดินหายใจแคบจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคครูปสูง
2. ไอแบบมีเสียงหวีด
หากทางเดินหายใจส่วนล่างตีบตันหรือปอดอักเสบ อาจส่งผลให้ลูกน้อยไอแบบมีเสียงหวีดขณะหายใจออกได้ ซึ่งอาการดังกล่าวมักเกิดขึ้นในเด็กที่ป่วยเป็นโรคหืดและโรคหลอดลมอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
นอกจากนี้ อาการไอแบบมีเสียงหวีดก็อาจเกิดจากการมีวัตถุแปลกปลอมอุดกั้นในทางเดินหายใจส่วนล่างได้เช่นกัน ดังนั้น หากพบว่าเด็กไอแบบมีเสียงหวีดหลังจากสูดดมอาหารหรือของเล่นชิ้นเล็ก ๆ เข้าไป ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
3. ไอเรื้อรัง
ไข้หวัดที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสอาจทำให้เกิดอาการไออย่างเรื้อรังนานหลายสัปดาห์ได้ โดยเฉพาะในเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดบ่อย ๆ
นอกจากนี้ โรคหืด โรคภูมิแพ้ รวมถึงการติดเชื้อในโพรงจมูกและทางเดินหายใจก็อาจส่งผลให้เกิดอาการไออย่างเรื้อรังได้เช่นกัน โดยผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์หากพบว่าลูกน้อยไอติดต่อกันนานกว่า 3 สัปดาห์
4. ไอกรน
เด็กที่มีอาการไอกรนจะไอติดต่อกันโดยไม่ได้หายใจเป็นพัก ๆ เมื่อการไอสิ้นสุดลงจะมีอาการหายใจเข้าที่ทำให้มีเสียงดังวู้ป และอาจมีอาการอื่น ๆ อย่างน้ำมูกไหล จาม หรือมีไข้ต่ำร่วมด้วย โดยไอกรนเป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียบอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส
ไอกรนสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่อาการจะรุนแรงมากในทารกอายุต่ำกว่า 1 ปีที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน เนื่องจากโรคนี้สามารถแพร่กระจายติดต่อกันได้ง่าย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนให้ครบตามที่กำหนด
5. ไอตอนกลางคืน
อาการไออาจรุนแรงขึ้นได้ในเวลากลางคืน โดยเฉพาะเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัด เพราะน้ำมูกและเสมหะจากจมูกและโพรงจมูกอาจไหลลงสู่ช่องคอ เป็นเหตุให้เกิดอาการไอขณะนอนหลับได้ โดยโรคหืดก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอในตอนกลางคืนได้เช่นกัน เนื่องจากทางเดินหายใจจะไวต่อสิ่งกระตุ้นในช่วงเวลากลางคืนมากกว่าช่วงกลางวัน
6. ไอขณะมีไข้
ไข้หวัดที่ไม่รุนแรงก็อาจทำให้เด็กไอได้ แต่หากเด็กไอขณะมีไข้สูงกว่า 39 องศาอาจมีสาเหตุมาจากภาวะปอดบวม โดยเฉพาะเด็กที่มีร่างกายอ่อนแอและมีอาการหายใจหอบแบบเร็วมาก ซึ่งพ่อแม่ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
7. ไอและอาเจียน
การไออย่างหนักอาจไปกระตุ้นประสาทรับความรู้สึกบริเวณโคนลิ้นและคอหอย ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการอาเจียนได้ นอกจากนี้ การไอจากโรคไข้หวัดหรือโรคหืดที่รุนแรงขึ้นก็อาจทำให้อาเจียนได้หากน้ำมูกและเสมหะไหลลงสู่ช่องท้องในปริมาณมากจนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้
อย่างไรก็ตาม การไอจนอาเจียนนั้นไม่ได้เป็นสัญญาณที่อันตราย แต่หากลูกน้อยอาเจียนไม่หยุดก็ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา
สัญญาณอาการเด็กไอที่ควรไปพบแพทย์
หากพบว่าลูกน้อยมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยด่วน
- เด็กมีอายุต่ำกว่า 4 เดือน
- ไอแบบแห้ง ๆ โดยมีสาเหตุมาจากไข้หวัดติดต่อกันนานกว่า 5-7 วัน
- ไอและมีไข้สูง
- ไอเป็นเลือด
- ป่วยและอ่อนล้าอย่างมาก
- มีวัตถุแปลกปลอมติดอยู่ในช่องคอ
- รู้สึกเจ็บหน้าอกเมื่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ
- หายใจมีเสียงหวีด และหายใจหรือพูดลำบาก
- น้ำลายไหลหรือกลืนอาหารลำบาก
นอกจากนี้ หากพบอาการรุนแรงดังต่อไปนี้ ควรโทรเรียกรถพยาบาลหรือขอความช่วยเหลืออย่างฉุกเฉินทันที
- เด็กร้องคราง
- มีอาการสำลักและอาการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ
- ริมฝีปาก นิ้วมือ หรือตัวเขียว
- หายใจไม่ออก หายใจมีเสียงหวีดอย่างรวดเร็ว หายใจแบบดูเหนื่อย ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องในการหายใจ หรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ
- หมดสติ หรือไม่หายใจ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลกรุงเทพ
– web pobpad
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM