ยาไซโปรฟลอกซาซิน Ciprofloxacin กลไกการออกฤทธิ์เข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

Ciprofloxacin (ไซโปรฟลอกซาซิน) เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มควิโนโลน (Quinolones) ที่ช่วยรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากติดเชื้อ โรคหนองใน ปอมบวม โรคแอนแทรกซ์ รวมไปถึงการติดเชื้อที่ผิวหนัง กระดูก ข้อต่อ และช่องท้อง โดยกลไกการออกฤทธิ์ของยาจะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อการรักษาเชื้อไวรัส

สรรพคุณของยา ciprofloxacin

ยา ciprofloxacin เป็นยาสำหรับรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด โดยจัดเป็นยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) ในกลุ่ม quinolone ยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย

ยาปฏิชีวนะใช้สำหรับรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อไวรัสได้ (เช่น ไข้หวัด, ไข้หวัดใหญ่) การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เป็นสาเหตุของการดื้อยาในอนาคตได้

การออกฤทธิ์ของยา Ciprofloxacin

ยา Ciprofloxacin จัดอยู่ในกลุ่ม ฟลูโอโรควิโนโลน เจนเนอเรชั่นที่ 2 (2nd Generation Fluoroquinolones) ออกฤทธิ์โดยฆ่าเชื้อแบคทีเรียหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้กว้าง โดยมีกลไกในการยับยั้งการทํางานของเอนไซม์ DNA gyrase (Topoisomerase) มีผลทําให้เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA ซึ่งเป็นตัวสังเคราะห์โปรตีนและการแบ่งเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียจึงทําให้เชื้อตาย ตัวยาออกฤทธิ์กว้างต่อเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Gram-negative และ Positive anaerobic บางชนิด รวมถึง Chlamydia, Mycoplasma, Mycobacterium และ Rickettsia

รูปแบบของยา Ciprofloxacin

  • แบบยาเม็ด มีสองขนาดคือ 250 และ 500 มิลลิกรัม
  • แบบยาฉีด ความเข้มข้น 100 มิลลิกรัมในยา 50 มิลลิลิตร
  • แบบยาสำหรับหยอดหู หยอดตา

ปริมาณการใช้ยา Ciprofloxacin

ยาฉีด

  • การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ผิวหนัง และเนื้อเยื่อ
    – ผู้ใหญ่: 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือวันละ 3 ครั้ง โดยฉีดเข้าเส้นอย่างช้า ๆ ภายใน 60 นาที เป็นระยะเวลา 7-14 วัน
  • ต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis)
    – ผู้ใหญ่: 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยฉีดเข้าเส้นอย่างช้า ๆ ภายใน 60 นาที เป็นระยะเวลา 28 วัน
  • การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะแบบซับซ้อน
    – ผู้ใหญ่: 200-400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยฉีดเข้าเส้นอย่างช้า ๆ ภายใน 60 นาที เป็นระยะเวลา 7-14 วัน
  • การรักษาและป้องกันโรคแอนแทรกซ์หลังจากการสูดดม
    – ผู้ใหญ่: 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง โดยฉีดเข้าเส้นอย่างช้า ๆ ภายใน 60 นาที เป็นระยะเวลา 60 วัน
    – เด็ก: 10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แต่ปริมาณรวมไม่เกิน 400 มิลลิกรัม/วัน วันละ 2 ครั้ง โดยฉีดเข้าเส้นอย่างช้า ๆ ภายใน 60 นาที เป็นระยะเวลา 60 วัน
  • การติดเชื้อที่กระดูกและข้อต่อ
    – ผู้ใหญ่: 400 มิลลิกรัม วันละ 2-3 ครั้ง โดยฉีดเข้าเส้นอย่างช้า ๆ ภายใน 60 นาที เป็นระยะเวลา 4-12 วัน

ยาหยอด

  • กระจกตาเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรีย
    – เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่: ใช้ยาหยอดตาความเข้มข้น 0.3% หยอดตาข้างที่เป็น ครั้งละ 2 หยด โดยวันแรกหยอดทุก ๆ 15 นาที ภายใน 1-6 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นหยอดทุก ๆ 30 นาที วันที่ 2 หยอดครั้งละ 2 หยดทุกชั่วโมง วันที่ 3-14 หยอดครั้งละ 2 หยดทุก 4 ชั่วโมง (ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานเกิน 21 วัน)
  • อาการตาติดเชื้อแบบไม่ลึก
    – เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ : ใช้ยาหยอดตาความเข้มข้น 0.3% หยอดตาข้างที่เป็น ครั้งละ 1-2 หยด วันละ 4 ครั้ง ในรายที่มีอาการรุนแรง ควรหยอดปริมาณทุก ๆ 2 ชั่วโมง (เฉพาะเวลาตื่น) ในช่วง 1-2 วันแรก (ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันนานเกิน 21 วัน) หากเป็นยาขี้ผึ้งป้ายตาใช้ป้ายตาวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 วัน จากนั้นใช้ป้ายตาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน

ยารับประทาน

  • การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง ผิวหนัง และเนื้อเยื่อ
    – ผู้ใหญ่: รับประทานยา ขนาด 500-750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 7-14 วัน ในรายที่มีอาการหูชั้นนอกอักเสบชนิดรุนแรง ให้เพิ่มปริมาณยาเป็น 750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 28 วัน-3 เดือน
  • กรวยไตอักเสบ
    – ผู้ใหญ่: กรวยไตอักเสบแบบไม่ซับซ้อน รับประทานยา ขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 7 วัน หรือกรวยไตอักเสบแบบซับซ้อนเพิ่มปริมาณยาเป็น 500-750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 10-21 วัน
    – เด็กอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป: รับประทานยา ขนาด 10-20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 10-21 วัน (สูงสุด 750 มิลลิกรัม)
  • ต่อมลูกหมากอักเสบ
    – ผู้ใหญ่: 500-750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 2-4 สัปดาห์ (ชนิดเฉียบพลัน) หรือ 4-6 สัปดาห์ (ชนิดเรื้อรัง)
  • ไข้ไทฟอยด์
    – ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 7 วัน
  • ปากมดลูกอักเสบ หรือท่อปัสสาวะอักเสบจากเชื้อหนองใน
    – ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งเดียว
  • การติดเชื้อที่กระดูกกับข้อต่อ
    – ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 500-750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันนานไม่เกิน 3 เดือน
  • การติดเชื้อในช่องท้อง
    – ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 500-750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลานาน 5-14 วัน
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
    – ผู้ใหญ่: กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบไม่ซับซ้อน รับประทานยาขนาด 250-500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลานาน 3 วัน ในรายที่เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบซับซ้อน รับประทานยาขนาด 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลานาน 7 วัน

การใช้ยา Ciprofloxaci

ก่อนการใช้ยาทุกครั้งควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบหากเคยมีประวัติการแพ้ยา มีโรคประจำตัวเดิม หรือกำลังใช้ยา สมุนไพร และวิตามินเสริมตัวใดอยู่ในช่วงนั้น เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ยาหรือก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการทำปฏิกิริยาของยาขึ้น

ผู้ป่วยควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัด และอ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนการใช้ หากเป็นยาชนิดเม็ดไม่ควรเคี้ยว หัก หรือแบ่งยาเป็นส่วน ๆ ควรกลืนยาไปทีเดียว แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ส่วนยาน้ำควรเขย่าขวดให้ตัวยาผสมเข้ากันดี และตวงยาด้วยช้อนมาตรฐาน ยาชนิดนี้สามารถรับประทานได้ทั้งก่อนหรือหลังอาหารทุก ๆ 12 ชั่วโมง และดื่มน้ำมาก ๆ ในระหว่างวัน เพื่อช่วยให้ตัวยากระจายได้ทั่วร่างกาย รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดื่มนม น้ำผลไม้ เครื่องดื่มที่มีคาเเฟอีน ยาลดกรด ยาที่มีส่วนผสมของเหล็กและซิงค์ในช่วงที่มีการใช้ยาชนิดนี้ เพราะอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้

ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ยาและระยะเวลาใช้ยาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการใช้ยาของผู้ป่วยเป็นหลัก การใช้ยาในเด็กควรต้องปรึกษาแพทย์และระมัดระวังในการใช้เป็นพิเศษ เพราะมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้สูง โดยเฉพาะปัญหาความผิดปกติของกระดูกและเส้นเอ็น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบปริมาณที่กำหนดแม้ว่าอาการจะดีขึ้น ไม่ควรหยุดยาเองยกเว้นในกรณีที่แพทย์สั่งระงับการใช้ยา เพื่อป้องกันการกลับมาของโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากใช้ยาครบตามปริมาณที่กำหนดแต่อาการยังไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง

หากลืมรับประทานยาตามเวลาที่กำหนด สามารถรับประทานยาได้ทันที แต่หากใกล้ถึงเวลารับประทานยาในรอบต่อไป ให้ข้ามไปรอบถัดไป ไม่ควรเพิ่มปริมาณการรับประทานยาเป็น 2 เท่า หากมีอาการผิดปกติหรือรุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยทันที

ข้อควรระวังในการใช้ยา Ciprofloxacin

  1. เมื่อทานยา Ciprofloxacin ผู้ป่วยอาจเกิดอาการมึนงงได้ ทำให้ควรเลี่ยงการขับรถหรือกิจกรรมอื่นที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
  2. ห้ามรับประทานร่วมกับยาลดกรด นม ผลิตภัณฑ์นม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียง
  3. ยา Ciprofloxacin อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงแดดได้ ดังนั้นควรดูแลผิวเมื่อต้องออกไปเจอแสงแดดแรงๆ
  4. ผู้ที่ห้ามใช้ยาหรือต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
    – ไม่ใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ยากลุ่มควิโนโลน (Quinolone)
    – ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีอาการชัก
    – ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะยาจะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น
    – ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะแบบ QT interval prolongation
    – ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรง
    – ระวังการใช้ยาในสตรีมีครรภ์หรือกำลังวางแผนจะมีบุตร เพราะยังไม่มีการศึกษามากพอที่ระบุว่า การใช้ยา Ciprofloxacin แล้วจะไม่มีผลข้างเคียงกับครรภ์
    – ผู้ที่กำลังให้นมบุตร ห้ามใช้ยาตัวนี้เด็ดขาด เพราะตัวยาจะผ่านทางน้ำนมไปสู่เด็กและทำให้เกิดอันตรายแก่เด็กได้

การเก็บรักษายา Ciprofloxacin

ให้เก็บรักษายาโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแดดจ้า เนื่องจากยามีความไวต่อแสง และควรเก็บไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศา

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาชนิดนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะในเด็ก เพราะมีความเสี่ยงจากอันตรายของการใช้ยาได้สูง









แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– เว็บพบแพทย์
– doctorraksa.com
– เอกสารกำกับยา
– hdmall
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี