โรคฟิฟธ์ (Fifth Disease): สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ “โรคแก้มแดง”

เคยเห็นเด็กที่มีแก้มแดงจัดเหมือนถูกตบไหม? นั่นอาจเป็นสัญญาณของ “โรคฟิฟธ์” หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า “Erythema Infectiosum” ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็กถึงวัยเรียน แม้จะฟังดูน่าตกใจ แต่โรคนี้ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายได้เอง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคฟิฟธ์อย่างละเอียด ทั้งสาเหตุ อาการ และวิธีการดูแลรักษา

โรคฟิฟธ์คืออะไร?

โรคฟิฟธ์เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่เกิดจาก Parvovirus B19 ชื่อ “ฟิฟธ์” (Fifth) มาจากระบบการจัดจำแนกโรคผื่นในเด็กที่เคยมีการใช้ในอดีต ซึ่งโรคนี้เป็นลำดับที่ห้า มักพบระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิ และมักแพร่กระจายในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก

สาเหตุของโรคฟิฟธ์

โรคฟิฟธ์เกิดจากการติดเชื้อ Parvovirus B19 ซึ่งเป็นไวรัสที่แพร่กระจายผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจของผู้ติดเชื้อ เช่น ละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสกับพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วนำมาสัมผัสใบหน้า เยื่อบุตา จมูก หรือปาก

อาการของโรคฟิฟธ์

อาการของโรคฟิฟธ์มักแบ่งเป็น 2 ระยะหลักๆ:

ระยะที่ 1: อาการนำ (ช่วง 6-10 วันหลังได้รับเชื้อ) ในช่วงนี้อาการมักไม่จำเพาะเจาะจงและคล้ายไข้หวัดทั่วไป ทำให้ยากที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคฟิฟธ์ในระยะนี้ อาการที่พบได้แก่:

  • ไข้ต่ำๆ
  • ปวดศีรษะ
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • เจ็บคอ
  • อ่อนเพลีย
  • ปวดเมื่อยตามตัว

ระยะที่ 2: อาการผื่นขึ้น (ประมาณ 2-5 วันหลังอาการนำ) นี่คือระยะที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของโรคฟิฟธ์ อาการที่เห็นได้ชัดเจนคือ:

  • ผื่นแดงสดที่แก้ม (Slapped Cheek Appearance): เป็นลักษณะเฉพาะที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด แก้มทั้งสองข้างจะแดงจัดเหมือนถูกตบ
  • ผื่นลายลูกไม้ที่ลำตัวและแขนขา: หลังจากผื่นที่แก้มขึ้นประมาณ 1-4 วัน ผื่นจะเริ่มกระจายไปที่ลำตัว แขน และขา ลักษณะเป็นผื่นแดงจางๆ คล้ายลายลูกไม้ (Lacy Rash) หรือตาข่าย ผื่นชนิดนี้อาจปรากฏขึ้นและจางหายไปได้เมื่อโดนความร้อน แสงแดด หรือหลังอาบน้ำร้อน
  • คัน: บางคนอาจมีอาการคันร่วมด้วย โดยเฉพาะบริเวณผื่น

สิ่งที่ควรทราบ:

  • เมื่อผื่นขึ้น เด็กมักจะรู้สึกสบายขึ้นและไม่มีไข้แล้ว
  • ในบางราย โดยเฉพาะในผู้ใหญ่หรือวัยรุ่น อาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย ซึ่งอาจคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

การวินิจฉัยโรคฟิฟธ์

การวินิจฉัยโรคฟิฟธ์ส่วนใหญ่จะอาศัยการตรวจร่างกายและประเมินจากลักษณะอาการและผื่นที่จำเพาะเจาะจง โดยเฉพาะ “ผื่นแก้มแดง” แพทย์อาจพิจารณาการตรวจเลือดเพื่อยืนยันการติดเชื้อ Parvovirus B19 ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจน หรือในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น หญิงตั้งครรภ์

การรักษาโรคฟิฟธ์

เนื่องจากโรคฟิฟธ์เกิดจากเชื้อไวรัส และส่วนใหญ่เป็นโรคที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง จึงไม่มีการรักษาจำเพาะเจาะจงสำหรับโรคนี้ การรักษาจึงเน้นที่การบรรเทาอาการ:

  • พักผ่อนให้เพียงพอ: เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว
  • ดื่มน้ำมากๆ: ป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะหากมีไข้
  • ยาลดไข้และยาแก้ปวด: เช่น พาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน (ตามคำแนะนำของแพทย์) เพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อยหรือปวดศีรษะ
  • ยาแก้คัน: หากมีอาการคันมาก แพทย์อาจแนะนำยาต้านฮิสตามีนเพื่อลดอาการคัน
  • หลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดด: ในช่วงที่ผื่นขึ้น เพราะอาจกระตุ้นให้ผื่นชัดขึ้นหรือมีอาการคันมากขึ้นได้

ใครบ้างที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ?

แม้โรคฟิฟธ์จะไม่อันตรายในเด็กส่วนใหญ่ แต่มีบางกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ:

  • หญิงตั้งครรภ์: หากหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อ Parvovirus B19 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรงในทารกในครรภ์ หรือภาวะบวมน้ำในทารกในครรภ์ (hydrops fetalis) ซึ่งอาจนำไปสู่การแท้งบุตรหรือเสียชีวิตของทารกได้ หากหญิงตั้งครรภ์สัมผัสกับผู้ป่วยโรคฟิฟธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางเรื้อรัง: เช่น ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย หรือโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงรูปเคียว การติดเชื้อ Parvovirus B19 อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางรุนแรงและฉับพลันได้ (aplastic crisis)
  • ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน อาจมีอาการรุนแรงกว่าปกติ หรือติดเชื้อเรื้อรังได้

การป้องกันโรคฟิฟธ์

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคฟิฟธ์ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตามสุขอนามัยที่ดี:

  • ล้างมือบ่อยๆ: ด้วยสบู่และน้ำ โดยเฉพาะหลังไอ จาม หรือสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: โดยเฉพาะตา จมูก และปาก
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม: ด้วยกระดาษทิชชู หรือข้อพับแขน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย: โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้ป่วยยังมีไข้และมีอาการนำ

โรคฟิฟธ์เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก แม้จะมีอาการผื่นที่ดูน่าตกใจ แต่ส่วนใหญ่เป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายได้เอง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกได้อย่างเหมาะสม และรู้ว่าเมื่อใดควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชชกรร้านขายยา เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัว


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, ศูนย์กุมารเวช. (ข้อมูลเกี่ยวกับ Parvovirus B19). 
  2.  โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรคติดเชื้อในเด็ก. (ข้อมูลลักษณะผื่น).
  3. โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, โรคติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์. (ข้อมูลผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์). 
  4. MedlinePlus. (ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับ Fifth Disease). 
  5. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (ข้อมูล Parvovirus B19 Infection).

เรียบเรียงข้อมูลโดย : www.chulalakpharmacy.com

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี