ยา Furosemide – ข้อมูล ข้อบ่งใช้ ผลข้างเคียง

ยาฟูโรซีไมด์ เป็นยาขับปัสสาวะกลุ่ม Loop diuretics มีคุณสมบัติช่วยขับของเหลวส่วนเกินในร่างกายออกมาทางปัสสาวะ และช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้ดูดซึมเกลือหรือโซเดียมมากจนเกินไป มีฤทธิ์ขับปัสสาวะที่แรงกว่าไฮโดรครอไรไทอะไซด์ จึงใช้ได้ดีในภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะน้ำท่วมปอดจากหัวใจล้มเหลว ไตวาย ตับวาย ภาวะบวมน้ำต่างๆ เช่น กลุ่มอาการเนโฟรติก ภาวะสมองบวม ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ในระยะยาวเพื่อกระตุ้นการทำงานของไตในภาวะไตวายเรื่องรัง และใช้ลดความดันโลหิตร่วมกับยาอื่นในกรณีที่ความดันโลหิตค่อนข้างสูงหรือเกิดจากไตพิการ

Furosemide จัดอยู่ในกลุ่มยาอันตราย ตามการจำแนกโดยคณะกรรมการอาหารและยา มีจำหน่ายเฉพาะร้านยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรชั้นหนึ่งควบคุมการขายยา ต้องมีการจัดทำบัญชียาอันตราย และสำหรับบุคคลทั่วไปเภสัชกรสามารถจำหน่ายยาและให้คำแนะนำในการใช้ยาได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพฯ รูปแบบยาที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่

  • รูปแบบยาฉีด ความแรง 10 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร / 20 มิลลิกรัมต่อ 2 มิลลิลิตร / 250 มิลลิกรัมต่อ 25 มิลลิลิตร
  • รูปแบบยาเม็ด ขนาด 40 มิลลิกรัม และแบบ High dose ขนาด 500 มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้ของยา Furosemide

โรคที่เป็นข้อบ่งใช้ของยานี้ ได้แก่

  • ภาวะปอดบวมน้ำเฉียบพลัน (acute pulmonary edema)
  • ภาวะบวมน้ำ (edema) ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจล้มเหลว
  • โรคความดันโลหิตสูง

ขนาดและวิธีการใช้ยา Furosemide

ภาวะปอดบวมน้ำเฉียบพลัน

การใช้ยาในรูปแบบยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาด 40 มิลลิกรัมโดยฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ 1-2 นาที หากไม่มีการตอบสนองที่น่าพอใจใน 1 ชั่วโมง อาจให้ยาเพิ่มในขนาด 80 มิลลิกรัมโดยฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ 1-2 นาทีได้

ภาวะบวมน้ำ (edema) ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจล้มเหลว การใช้ยาในรูปแบบยารับประทาน

ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาดยาเริ่มต้น วันละ 40 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทานตามความเห็นสมควรของแพทย์ อาจลดขนาดยาได้เหลือวันละ 20 มิลลิกรัม หรือรับประทาน 40 มิลลิกรัม วันเว้นวัน ตามความเห็นสมควรของแพทย์ ในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจเห็นสมควรให้มีการใช้ยาขนาด 80 มิลลิกรัมต่อวัน หรือมากกว่านี้ได้
ขนาดการใช้ยาในผู้สูงอายุ ขนาดยาเริ่มต้น วันละ 20 มิลลิกรัม แพทย์อาจเห็นสมควรให้ค่อยๆเพิ่มขนาดยาขึ้นไปได้ตามความเหมาะสม

ภาวะบวมน้ำ (edema) ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจล้มเหลว การใช้ยาในรูปแบบยาฉีด

เข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ หรือฉีดเข้ากล้าม
ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาด 20-50 มิลลิกรัม สามารถให้ขนาดยาเพิ่มอีก 20 มิลลิกรัมได้ในทุก 2 ชั่วโมงตามความเหมาะสมและการตอบสนองของผู้ป่วย ขนาดยาที่สูงกว่า 50 มิลลิกรัมควรให้ยาผ่านทางหลอดเลือดดำโดยการฉีดช้า ขนาดยาสูงสุดคือ 1500 มิลลิกรัมต่อวัน
ขนาดการใช้ยาในเด็ก ขนาด 0.5 – 1.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมต่อวัน ขนาดยาสูงสุดคือ 20 มิลลิกรัมต่อวัน

โรคความดันโลหิตสูง

การใช้ยาในรูปแบบยารับประทาน ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ วันละ 40-80 มิลลิกรัม สามารถใช้เป็นยาเดี่ยวหรือร่วมกับยารักษาความดันโลหิตสูงกลุ่มอื่นได้

ข้อควรระวังในการใช้ Furosemide

  1. ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการแพ้ยา Furosemide และยาในกลุ่มซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide)
  2. ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ปัสสาวะไม่ได้ หรือผู้ป่วยไตวาย
  3. ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรค Addison’s ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของต่อมหมวกไตที่ลดลงกว่าปกติ ส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตที่ลดลง ทำให้ร่างกายมีการทำงานที่ผิดปกติ เป็นการขาดฮอร์โมนโดยเฉพาะฮอร์โมนในกลุ่ม glucocorticoid ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการใช้พลังงานและภูมิคุ้มกันของร่างาย และฮอรโมนกลุ่ม mineralocorticoid ซึ่งเกี่ยวข้องกับสมดุลเกลือแร่ของร่างกาย
  4. ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีภาวะของเหลวในร่างกายต่ำ หรืออยู่ในภาวะขาดน้ำ
  5. ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  6. ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับแข็ง
  7. ควรระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคเกาท์
  8. ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต
  9. ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ เด็ก สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร
  10. ยามีความเสี่ยงทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว
  11. ยาในรูปแบบยาฉีด สามารถเกิดพิษต่อหู (หูหนวก) ได้ หากให้ยาเร็วเกินไป

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Furosemide

ยานี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก ซึ่งมีทั้งที่เป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย หรือเกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อยาได้แก่

  • เจ็บหน้าอก
  • หอบเหนื่อย
  • หนาวสั่น
  • ไอ และเสียงแหบ
  • ไข้ขึ้นสูง
  • มีอาการบวมของต่อมน้ำเหลือง
  • ปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะไม่ออก
  • ปวดหลัง หรือบริเวณสีข้าง
  • ปวดศีรษะ
  • เหนื่อย หรืออ่อนแรงผิดปกติ
  • มีเลือดออกตามร่างกาย หรือมีรอบฟกช้ำที่ผิดปกติ

โดยผลข้างเคียงอาจเกิดขึ้นได้น้อยกับผู้ป่วย แต่ถ้าหากพบแล้วควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– เว็บพบแพทย์

– HDmall

– medicine
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี