Glimepiride (ไกลเมพิไรด์) เป็นสารกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylurea) เป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยยาจะออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินของร่างกายเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ยานี้ถูกออกแบบเป็นยาเม็ดสำหรับรับประทาน และสามารถออกฤทธิ์ได้ 24 ชั่วโมงต่อขนาดรับประทานที่เหมาะสม ในการใช้ยานี้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ในบางกรณีอาจใช้ร่วมกับยารักษาโรคเบาหวานชนิดอื่นร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังอาจใช้ยานี้เพื่อจุดประสงค์อื่นตามดุลยพินิจของแพทย์
ข้อบ่งใช้
รักษาเบาหวานชนิดที่ 2 (Non-insulin dependent type II) การใช้ยาในผู้ป่วยจะเริ่มขึ้นเมื่อการควบคุมอาหาร การลดน้ำหนัก และการออกกำลังกาย ไม่สามารถทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้
กลไกการออกฤทธิ์
กลไกการออกฤทธิ์ของยาไกลเมพิไรด์ คือ ตัวยาจะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน และเพิ่มการตอบสนองของร่างกายต่อฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยตอบ สนองโดยมีการใช้น้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดได้มากยิ่งขึ้น ทำให้มีฤทธิ์รักษาโรคเบาหวานตามสรรพคุณ
ปริมาณการใช้ยา Glimepiride
ในการใช้ยา Glimepiride เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 2 แพทย์จะพิจารณาจากระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย
โดยในช่วงเริ่มต้น แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาครั้งละ 1 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณยาตามการตอบสนองของยาของผู้ป่วยในช่วง 1–2 สัปดาห์ของการรักษา โดยส่วนใหญ่ แพทย์จะเพิ่มปริมาณยาให้อยู่ที่ประมาณ 4 มิลลิกรัม หรืออาจมากกว่านั้นในบางกรณี แต่แพทย์จะกำหนดปริมาณยาสูงสุดที่ไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อวัน
มีข้อควรระวังการใช้ยาไกลเมพิไรด์
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Insulin-dependent Type I diabetes mellitus)
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยา ไกลเมพิไรด์ หรือแพ้ยาในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรียอื่นๆ
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตในระยะรุนแรง
- ห้ามใช้ยานี้กับ หญิงตั้งครรภ์ และหญิงที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ด้วยยานี้อาจมีอันตรายต่อเด็กทารก
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้สูงอายุและเด็ก
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วยโรค G6PD (ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี)
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Glimepiride
- การใช้ยา Glimepiride อาจส่งผลข้างเคียงบางอย่างได้ อาการที่พบได้บ่อย เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย
- ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากใช้ยานี้แล้วพบอาการในลักษณะข้างต้นและอาการไม่ดีขึ้น มีความรุนแรงขึ้น หรือพบสัญญาณของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เช่น กระหายน้ำผิดปกติ ปัสสาวะมากผิดปกติ สับสน ง่วงซึม หน้าแดง หายใจถี่ หรือลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยา Glimepiride และไปพบแพทย์ทันที หากพบอาการที่รุนแรงหลังการใช้ยา เช่น
- สัญญาณของอาการแพ้ยา เช่น หายใจลำบาก หรือเกิดอาการบวมบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ
- มีไข้ขึ้น เจ็บคอ แสบตา ร่วมกับการเกิดอาการผิดปกติเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น เจ็บผิวหนัง เกิดรอยผื่นสีแดงหรือสีม่วงร่วมกับแผลพุพองและผิวหนังลอก
- สัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ขึ้น เจ็บคอเรื้อรัง
- อาการอื่น ๆ เช่น ผิวหนังซีด ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดวงตามีสีเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม สับสน อ่อนเพลีย ปวดท้อง เลือดออกง่าย เกิดรอยช้ำตามร่างกาย อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักขึ้นผิดปกติ หรือชัก
ควรเก็บยาไกลเมพิไรด์ เช่น
- เก็บยาที่อุณหภูมิไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส (Celsius)
- เก็บยาให้พ้นแสง/แสงแดด และความชื้น
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- ไม่ควรเก็บยาในห้องน้ำ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– haamor.com
– เว็บพบแพทย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM