หูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่แม้ถุงยางก็กันไม่ได้

หูดข้าวสุก (Molluscum Contagiosum) เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมอลลัสคุม คอนทาจิโอซุม (Molluscum Contagiosum Virus) ทำให้เกิดตุ่มเนื้อและมีรอยนูนขนาดเล็กบนผิวหนังชั้นนอกทั่วร่างกาย ยกเว้นฝ่ามือและฝ่าเท้า สามารถติดต่อได้ผ่านทางการสัมผัส การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่มีเชื้อไวรัสของหูดข้าวสุกอยู่แล้ว หรือการมีเพศสัมพันธ์ ส่วนมากมักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ มักติดต่อในสถานที่ที่ค่อนข้างชื้น อย่างเช่น ในสถานที่ออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ เป็นต้น ยิ่งในสภาพอากาศที่ร้อนชื้นเชื้อไวรัสชนิดนี้จะยิ่งเติบโตได้ดี จึงมีโอกาสจะเกิดอาการแทรกซ้อนได้

โรคหูดข้าวสุกจัดเป็นโรคที่ไม่รุนแรง เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และยังติดต่อจากคนสู่คนได้ ซึ่งผู้ที่ได้รับเชื้อสามารถหายเองได้ภายใน 6–12 เดือนโดยไม่ต้องรับการรักษา แต่บางรายอาจกินเวลานานกว่านั้น การเข้ารับรักษาจะช่วยป้องกันการกระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ โดยเฉพาะคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

อาการของหูดข้าวสุก

ระยะฟักตัวเฉลี่ยของเชื้อชนิดนี้อยู่ที่ประมาณ 2–7 สัปดาห์ไปจนถึง 6 เดือน จึงทำให้ในบางรายพบอาการของโรคได้หลังจาก 6 เดือนผ่านไปแล้ว ผู้ที่ได้รับเชื้อจะพบตุ่มบริเวณผิวหนังเป็นตุ่มเดี่ยว ๆ หรืออยู่กระจุกเป็นกลุ่มได้ถึง 20 ตุ่ม และมักสังเกตได้ว่า

  • ตุ่มมีขนาดเล็กประมาณ 2–5 มิลลิเมตร ผิวสัมผัสมีความเงาและเรียบ
  • มีสีเนื้อเช่นเดียวกับผิวหนัง มีสีขาวหรือชมพู
  • ลักษณะเป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลาง
  • เกิดได้ทุกที่บนร่างกาย แต่จะไม่เกิดบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า มักพบบริเวณใบหน้า ท้อง ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ผิวหนังที่สัมผัสหรือเสียดสีกันบ่อยอย่างข้อพับ

อย่างไรก็ตามในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือเป็นโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อระบบคุ้มกันภายในร่างกายอาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น ตุ่มเหล่านี้อาจขยายใหญ่ได้ถึง 15 มิลลิเมตร และอาจทำการรักษาได้ยากมากขึ้น

สาเหตุของหูดข้าวสุก

  • เชื้อไวรัสมอลลัสคุม คอนทาจิโอซุม เป็นเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) มักเกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ที่เป็นผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ไม่มีผลต่อระบบภายในร่างกาย รวมไปถึงไม่แพร่กระจายโดยการจามหรือไอ
  • การติดเชื้อไวรัสมอลลัสคุม คอนทาจิโอซุม เกิดจากการสัมผัสโดนบริเวณที่มีเชื้อโดยตรงหรือสิ่งของที่มีการปนเปื้อน รวมไปถึงการสัมผัสถูกเชื้อขณะมีเพศสัมพันธ์ จึงถือว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Disease: STD) ได้เช่นเดียวกัน
  • ในเด็กมักติดต่อกันได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะภูมิคุ้มกันในร่างกายยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ อาจติดต่อระหว่างเล่นกับเด็กคนอื่นที่มีเชื้อชนิดนี้ หรือติดจากบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ส่วนในวัยรุ่นและผู้ใหญ่มักติดต่อได้ง่ายทางเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงการเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ ที่มีการสัมผัสโดนกัน ไปถึงการใช้สิ่งของที่มีการปนเปื้อนของเชื้อร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬา

การป้องกัน

  • หากมีหูดข้าวสุกเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ขาอ่อนด้านใน สะโพก หรือบริเวณหัวเหน่า ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าหูดจะหายหรือได้รับการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น หากเป็นหูดข้าวสุกบนผิวหนังบริเวณอื่นสามารถลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่นได้ โดยการปิดบริเวณที่เป็นตุ่มในช่วงกลางวันด้วยการสวมเสื้อคลุมหรือติดพลาสเตอร์
  • ผู้ป่วยไม่ควรใช้ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น แม้ว่าหูดข้าวสุกที่หายแล้วจะไม่แพร่เชื้อสู่ผู้อื่นอีก แต่ผู้ที่เคยเป็นก็อาจจะติดเชื้อได้อีกครั้ง ดังนั้นวิธีป้องกันการได้รับเชื้อที่ดีที่สุดคือการไม่สัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อดังกล่าว
  • หากหูดข้าวสุกเกิดขึ้นในเด็กที่ต้องเข้าเรียนในสถานศึกษา ให้ติดพลาสเตอร์หรือสวมเสื้อคลุมบริเวณที่เป็นตุ่ม ส่วนในเด็กที่ตุ่มเกิดขึ้นบริเวณที่ปิดไม่ได้ ให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องสัมผัสโดนตัวกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะ เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ

การรักษา

  • เมื่อผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติเป็นหูดข้าวสุก หูดมักจะหายไปเองภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่การติดเชื้ออาจจะยังคงอยู่ต่อไปอีกหลายเดือนและอาจจะถึงปีหากมีหูดเกิดขึ้นใหม่ ส่วนในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีความเป็นไปได้ที่โรคจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น และระยะเวลาในการติดเชื้อจะนานขึ้น
  • แพทย์จะแนะนำให้กำจัดหูดข้าวสุกทิ้งในกรณีที่ผู้ติดเชื้ออยู่ในวัยเจริญพันธุ์และเป็นหูดบริเวณอวัยวะเพศ การเอาหูดบริเวณนี้ออกจะเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นขณะมีเพศสัมพันธ์ได้
  • ในกรณีที่ผู้ติดเชื้อหูดข้าวสุกเป็นเด็ก อาจจะใช้วิธีปล่อยให้หูดหายไปเองโดยไม่ต้องรักษา แต่จะใช้เวลานาน การรักษาหูดจะทำได้ด้วยเหตุผลเรื่องความสวยงาม หรือเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผิวหนังบริเวณอื่น สู่พี่น้อง หรือสู่เพื่อน

การรักษาหูดข้าวสุก มีหลายวิธี เช่น

  • การจี้ทำลายโรคด้วยความเย็น (Cryotherapy)
  • การขูดเพื่อเอาหูดข้าวสุกออก (Curettage)
  • การใช้ยาทาที่มีฤทธิ์เป็นกรด

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาหูดข้าวสุกวิธีไหนที่ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากการรักษามักขึ้นอยู่กับตำแหน่งของหูด และการตัดสินใจร่วมกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วย ทั้งนี้ การรักษาอาจทำให้มีอาการข้างเคียง คือ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บปวดหรือเกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง มีสีผิวผิดปกติหลังการรักษา และอาจทำให้กลายเป็นแปลเป็นได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรแกะหรือขูดหูดออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นติดเชื้อแบคทีเรีย หรืออาจทำให้หูดข้าวสุกแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นได้



แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– Skin lnsigth by ArTee
– เว็บพบแพทย์
– โรงพยาบาลกรุงเทพ
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี