Norfloxacin (นอร์ฟลอกซาซิน) เป็นยาปฏิชีวนะที่จัดอยู่ในกลุ่มยาควิโนโลน (Quinolone) ซึ่งมีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยยานอร์ฟลอกซาซินจะนำมาใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ โรคหนองใน และโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร แต่ไม่มีผลต่อการรักษาเชื้อไวรัส
ชื่อทางการค้าของยา Norfloxacin
รูปแบบและส่วนประกอบของยา Norfloxacin
Norfloxacin เป็นยาปฏิชีวนะสำหรับรับประทาน อยู่ในรูปแบบยาเม็ด มี 3 ขนาดด้วยกัน ได้แก่ นอร์ฟลอกซาซินขนาด 100 มิลลิกรัม 200 มิลลิกรัม และ 400 มิลลิกรัม
ชื่อทางการค้าของยา Norfloxacin มีหลากหลายชื่อด้วยกัน เช่น Cenor (ซีนอร์), Lexinor (เล็กซินอร์), Norxacin (นอร์ซาซิน), Chibroxin (ชิบร็อกซ์ซิน) , Floximed 400 (ฟล็อกซิเมด 400), Foxinon (โฟซินอน)
การออกฤทธิ์ของยา Norfloxacin
ยา Norfloxacin เป็นยาที่ออกฤทธิ์ในการทำลายเชื้อแบคทีเรีย โดยจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของดีเอ็นเอไจเรส (DNA Gyrase) ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมของแบคทีเรีย จึงทำให้แบคทีเรียตาย ส่งผลให้สามารถลดการเจริญเติบโตและการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียได้
คำเตือนของการใช้ยา Norfloxacin
- ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาให้แพทย์และเภสัชกรทราบ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะในกลุ่มควิโนโลนตัวอื่น เช่น ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) และลีโวฟลอกซาซิน (Levofloxacin) รวมไปถึงประวัติอาการแพ้อื่น ๆ ก่อนการใช้ยา เพราะส่วนผสมบางตัวในยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ได้
- ก่อนใช้ยานี้ควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบถึงประวัติโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเอ็นและข้อต่อ เป็นโรคไต โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท หรือเป็นโรคลมชัก
- ยานี้อาจทำให้เกิดความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Prolong QT Interval) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการที่รุนแรง แต่พบได้น้อย เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ และอาการอื่น ๆ เช่น เวียนศีรษะอย่างมากหรือเป็นลม ซึ่งต้องได้รับการรักษาในทันที
- หากมีโรคประจำตัวหรือกำลังใช้ยาบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Prolong QT Interval) และหากมีประวัติหัวใจเต้นช้า หัวใจล้มเหลว คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ หรือมีประวัติคนในครอบครัวมีปัญหาด้านหัวใจ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนใช้ยานอร์ฟลอกซาซิน
- ยานี้อาจส่งผลที่รุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่เป็นกรณีที่พบได้น้อย
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ กำลังวางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ไม่ควรใช้ยานี้
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรรับประทานยานี้ ยกเว้นจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เนื่องจากมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากยาสูง
- หลีกเลี่ยงการขับรถ ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ง่วงนอน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ รวมไปถึงควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้พอเหมาะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดหรือใส่เสื้อผ้าที่ช่วยกันแสงแดดเมื่อต้องออกกลางแจ้ง เพราะการใช้ยานี้อาจส่งผลให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น
- ไม่ควรรับการฉีดวัคซีนในขณะที่ใช้ยานี้ นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลงได้
- เด็กควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อและเส้นเอ็น
ข้อบ่งใช้ของยา Norfloxacin
โรคหนองในที่ไม่ซับซ้อน (Uncomplicated Gonorrhoea)
ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 800 มิลลิกรัม 1 ครั้ง
ต่อมลูกหมากอักเสบเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียเรื้อรัง (Chronic Bacterial Prostatitis)
ผู้ใหญ่: รับประทานขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 28 วัน
โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะกำเริบเรื้อรัง (Chronic Relapsing Urinary Tract Infections)
ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ อาจลดเป็นวันละ 1 ครั้ง หากควบคุมอาการได้ในช่วง 4 สัปดาห์แรกที่ใช้ยา
โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะชนิดซับซ้อน (Complicated Urinary Tract Infections)
ผู้ใหญ่: รับประทานยาขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 10-21 วัน
โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อน (Uncomplicated Urinary Tract Infections)
ผู้ใหญ่: หากพบว่ามีสาเหตุจากการติดเชื้ออีโคไล (E. Coli) เชื้อเคลบเซลลา นิวโมเนียอี (Klebsiella Pneumoniae) หรือเชื้อ Proteus Mirabili ให้รับประทานยาขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 3 วัน หรือมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ให้รับประทานยาขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นระยะเวลา 7-10 วัน
*ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษาด้วยนะ*
ข้อควรระวังในการใช้ยา Norfloxacin
1.ผู้ที่สามารถใช้ยาได้
- ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ อาทิ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบเฉียบพลัน หนองใน กรวยไตอักเสบชนิดไม่รุนแรง
- ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินอาหารหรือลำไส้ใหญ่ อาทิ อาการท้องเสียเฉียบพลัน โรคบิดจากเชื้อชิกเกลลา อหิวาต์ โรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากการเดินทาง
2.ผู้ที่ไม่ควรใช้ยา
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติเคยแพ้ยา Norfloxacin
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติการแพ้ยาในกลุ่มควิโนโลน เช่น Pefloxacin (พีฟล็อกซาซิน), Ofloxacin (โอฟล็อกซาซิน), Cyprofloxacin (ไซโพรฟล็อกซาซิน), Nalidixic Acid (กรดนาลิดิซิก)
- ไม่ควรใช้ในกลุ่มสตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง หัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยโรคลมชักหรือมีความผิดปกติทางสมองหรือระบบประสาท เช่น ภาวะซึมเศร้า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเอ็นและข้อต่อ รวมถึงผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดโป่งพองหรืออุดตัน และผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการแข็งตัวของเลือด
3.ไม่ควรรับประทานยา Norfloxacin ร่วมกับนมหรือผลิตภัณฑ์นม เพราะจะทำให้ฤทธิ์ของยาลดลง
4.ขณะรับประทานยา Norfloxcin ไม่ควรทานเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากจะทำให้ฤทธิ์ของคาเฟอีนรุนแรงขึ้น
5.ขณะทานยา Norfloxacin ให้พยายามงดออกแดด เนื่องจากตัวยาจะทำให้ผิวไวต่อแสงแดด และผิวไหม้ง่าย หรือควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน
ข้อมูลการใช้ยา Norfloxacin ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร
ตัวยา Norfloxacin จัดอยู่ในกลุ่มยาประเภท C คือควรระมัดระวังการใช้ยาในสตรีมีครรภ์และสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร โดยจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยงจากยาก่อนใช้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Norfloxacin
- อาหารไม่ย่อย
- คลื่นไส้
- ท้องเสีย
- ปวดศีรษะ
- เวียนศีรษะ
- มีผื่นคัน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ
- โดยหากเกิดอาการเหล่านี้และอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแย่ลงควรรีบไปพบแพทย์
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยานอร์ฟลอกซาซินที่มีความรุนแรง เช่น
- มีอาการช้ำหรือเลือดออกผิดปกติ
- ผิวไวต่อแสงแดด
- มีสัญญาณบ่งบอกว่าไตมีปัญหา เช่น มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณปัสสาวะ
- มีสัญญาณบ่งบอกว่าตับมีปัญหา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ดีซ่าน หรือปัสสาวะสีเข้ม
หากพบอาการแพ้ยานอร์ฟลอกซาซินที่รุนแรง ได้แก่ ผื่นคัน อาการบวมที่ใบหน้า ลิ้นและคอ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ ควรได้รับการช่วยเหลือหรือควรไปพบแพทย์ทันที
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– hdmall,
– doctorraksa.com
– เว็บพบแพทย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM