หลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อบริเวณหลอดลมฝอย ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อไวรัส ส่งผลให้หลอดลมฝอยเกิดการอักเสบ บวม และมีเสมหะสะสม จนปอดไม่สามารถทำงานและระบายอากาศได้อย่างเหมาะสม เป็นโรคที่มักพบได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเฉพาะทารกที่อายุต่ำกว่า 3 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ปอดและระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ โดยผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่มักอาการดีขึ้นและหายได้เองภายในระยะเวลาประมาณ 2–3 สัปดาห์
อาการของโรคหลอดลมฝอยอักเสบ
ในช่วงแรกผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ มักพบเพียงอาการคัดจมูก มีน้ำมูก ไอ และมีไข้เพียงเล็กน้อย ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เอง แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการแย่ลงและพบอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น อาการไอที่เริ่มรุนแรงขึ้น หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด

แม้โดยส่วนมากอาการต่าง ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายได้เอง แต่ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 สัปดาห์ เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และเด็กที่มีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด หากพบว่าเริ่มเกิดอาการอื่น ๆ ที่มีความรุนแรง เช่น
- ไม่ยอมรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ
- หายใจมีเสียงหวีด หายใจหอบถี่ หรือหายใจลำบาก
- เซื่องซึม
- จมูกบานขึ้นขณะหายใจ
- ผิวหนังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีออกเขียว โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากและเล็บมือ
- ปัสสาวะน้อยลงผิดปกติ
ปัจจัยที่ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของหลอดลมฝอยอักเสบในทารกและในกรณีที่รุนแรงมากขึ้น ได้แก่
- ทารกคลอดก่อนกำหนด
- เป็นโรคหัวใจหรือโรคปอด
- การสัมผัสกับควันบุหรี่
- ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ทารกที่ไม่เคยกินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด (ทารกที่กินนมแม่จะได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่)
- เด็กที่ติดเชื้อไวรัสจากเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก
- ทารก หรือเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด
- ทารก หรือเด็กเล็กมีพี่น้อยที่เข้าโรงเรียนหรืออยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก นำเชื้อกลับมาติดทารกหรือเด็กในบ้าน
การรักษาโรคหลอดลมฝอยอักเสบ
หลอดลมฝอยอักเสบส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงหากไม่มีอาการแทรกซ้อน จึงไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลแต่ให้รักษามุ่งเน้นไปในการบรรเทาอาการ ดังนั้น ทารกหรือเด็กเล็กที่เป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว และรักษาอาการน้ำมูก เสมหะ อาการไอ คัดจมูกตามอาการที่เป็นอยู่โดยแพทย์ระบุว่าการใช้ยาปฏิชีวนะไม่สามารถช่วยได้เนื่องจากไวรัสทำให้หลอดลมฝอยอักเสบ ยาปฏิชีวนะใช้ได้ผลกับการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น
- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือบ่อย ๆ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- เมื่อทารก หรือเด็กตัวร้อนหรือมีไข้ ควรใช้ยาพาราเซตามอลชนิดดรอป 80 มก./0.8 ซีซี หรือ 60 มก./0.6 ซีซีเนื่องจากใช้ปริมาณยาไม่มากเหมาะสำหรับทารกและเด็กเล็ก
- การเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น จะทำให้อุณหภูมิที่ร่างกายต่ำลง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหลอดลมฝอยอักเสบ
ผู้ป่วยอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรค และภาวะผิดปกติบางอย่าง เช่น ติดเชื้อในหู ปอดบวมจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ริมฝีปาก หรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเขียว ภาวะหยุดหายใจ ภาวะขาดน้ำ ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ และระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
การป้องกันโรคหลอดลมฝอยอักเสบ
- ล้างมือด้วยน้ำสะอาดบ่อย ๆ ทั้งเด็กและผู้ปกครอง
- แนะนำให้เด็กอยู่ห่างจากผู้ที่กำลังป่วยเป็นไข้หวัด หรือมีอาการไอ
- หลีกเลี่ยงการให้เด็กสูดดมควันบุหรี่มือสอง
- ทำความสะอาดสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่มักหยิบจับอยู่เสมอ เช่น ของเล่น ลูกบิดประตู
- สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในที่ที่มีคนเยอะ
- ปิดปากและจมูกขณะจามหรือไอเสมอ หลังจากนั้นล้างมือด้วยน้ำสะอาดทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ให้ลูกดื่มนมแม่
นอกจากนี้ ผู้ปกครองอาจปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเพิ่มเติม ซึ่งในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาฉีดยา Palivizumab ให้เด็กเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส RSV หากเด็กอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจาก Bronchiolitis เช่น เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีภาวะผิดปกติทางปอด หรือหัวใจ หรือเด็กที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– เว็บพบแพทย์
– amprohealth.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKESHOP.COM