อะม็อกซี่ซิลลิน (Amoxicillin) จัดอยู่ในยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillins) ซึ่งจะใช้ในการรักษาโรคที่มีสาเหตุการติดเชื้อมาจากแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ หู คอ จมูก และผิวหนัง โดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาชนิดนี้ทุกครั้ง
อะม็อกซี่ซิลลิน จะใช้ในการรักษาโรคที่มีการติดเชื้อจากแบคทีเรียเท่านั้น และจะไม่มีผลช่วยในการรักษาการติดเชื้อที่มาจากไวรัส ซึ่งยาชนิดนี้จะกำจัดแบคทีเรียด้วยการยับยั้งการก่อตัวของผนังเซลล์แบคทีเรียนั้น ๆ อะม็อกซี่ซิลลิน เป็นยาที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย มักมีการเข้าใจผิดจากผู้ป่วยเวลาเป็นไข้หวัดแล้วจะขอยานี้เพื่อแก้เจ็บคอ แต่ไข้หวัดมีสาเหตุจากเชื้อไวรัส ซึ่งอะม็อกซี่ซิลลินฆ่าเชื้อไวรัสไม่ได้
วิธีใช้ยา Amoxicillin
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง โดยสามารถรับประทานก่อน หรือหลังอาหารก็ได้ โดยทั่วไปจะรับประทานยานี้ทุก 8 หรือ 12 ชั่วโมง
- ขนาดยาที่ผู้ป่วยได้รับจะขึ้นกับสภาวะโรคที่เป็น และการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วย
- แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ ระหว่างการใช้ยานี้ ยกเว้นแพทย์สั่งเป็นอย่างอื่น
- เพื่อให้ได้ผลจากการรักษาดีที่สุด จะต้องรับประทานยาด้วยช่วงห่างที่เท่าๆ กัน
- จะต้องรับประทานยาจนหมด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วันก็ตาม การหยุดยาเร็วเกินไปอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียกลับมาเจริญเติบโตอีกครั้ง และทำให้เกิดอาการเชื้อดื้อยา
- แจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรทราบ หากอาการยังไม่ดีขึ้น หรืออาการแย่ลง
- อ่านคำแนะนำการใช้ยาบนฉลากให้ดีและทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- อย่าเปลี่ยน เพิ่ม และลด ปริมาณการใช้ยาด้วยตัวเอง นอกจากได้รับคำแนะนำจากแพทย์เท่านั้น
- เพื่อป้องกันไม่ให้การติดเชื้อกลับมาเกิดซ้ำ ต้องใช้ยาตามปริมาณที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด หากใช้ยาแล้วอาการไม่ทุเลา ให้กลับไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและปรับแผนการรักษาต่อไป
- หากผู้ป่วยลืมรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เมื่อนึกขึ้นได้สามารถรับประทานได้ทันที และห้ามเพิ่มปริมาณยามากกว่าปกติเพื่อทดแทนมื้อที่ขาดหายไป

คำเตือนในการใช้ยาอะม็อกซี่ซิลลิน
- ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาเพนนิซิลิน ห้ามใช้ยานี้
- ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
- ผู้ป่วยที่ใช้ยาคุมกำเนิดขณะที่มีการใช้ยาอะม็อกซี่ซิลลิน ควรเลือกคุมกำเนิดวิธีอื่นแทน เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เพราะอะม็อกซี่ซิลลินทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดน้อยลง
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือไต ต้องปรึกษาและทำตามคำแนะนำในการใช้ยาจากแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับไต ต้องใช้ยาชนิดนี้อย่างระมัดระวัง
- ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อจากไวรัสเอบสเตนบาร์ (มีอาการคล้ายไข้หวัด ร่วมกับต่อมน้ำเหลืองโต) เพราะจะทำให้เกิดผื่นคันขึ้น
- ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้จากการใช้ยาหรือใช้ยาในปริมาณที่มากเกิน ควรรีบไปพบแพทย์
ปริมาณการใช้ยาอะม็อกซี่ซิลลิน
แพทย์เป็นผู้วินิจฉัยในการสั่งจ่ายยาที่เหมาะสม ซึ่งยาอะม็อกซี่ซิลลินมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคได้หลากหลายชนิด เช่น โรคหนองในชนิดไม่ซับซ้อน โรคที่มีการติดเชื้อจากการรักษาฟัน โรคเหงือกบวม ซึ่งปริมาณการใช้ยาก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและความรุนแรงของโรค สำหรับเด็ก การใช้ยาอะม็อกซี่ซิลลินจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยาในโรคที่พบได้บ่อย เช่น โรคหลอดลมอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ โรคที่ติดเชื้อในปาก หูชั้นกลางอักเสบ ปอดบวม และทางเดินปัสสาวะอักเสบ โดยในเด็กและผู้ใหญ่จะใช้ปริมาณยา ดังนี้
- ผู้ใหญ่ ใช้ปริมาณ 250-500 มิลลิกรัม ทุก 8 ชั่วโมง หรือใช้ปริมาณ 500-875 มิลลิกรัม ทุก 12 ชั่วโมง
- เด็ก น้ำหนักน้อยกว่า 40 กิโลกรัม ใช้ปริมาณ 40-90 มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละ 2-3 ครั้ง ใช้ปริมาณยาสูงสุดวันละ 3 กรัม
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาอะม็อกซี่ซิลลิน
ผลข้างเคียงอาจพบได้น้อย แต่หากเคยมีประวัติว่าเคยได้รับผลข้างเคียงจากการใช้ยานี้ ควรอธิบายให้แพทย์ทราบก่อนทุกครั้ง ซึ่งผลข้างเคียงจากการใช้ยาอะม็อกซี่ซิลลินที่อาจเกิดขึ้นได้ มีดังนี้
- มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
- ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องเดิน
- ปวดหัว
มีผื่นคัน ลมพิษ
ในกรณีที่มีผื่นคันเกิดขึ้น ให้รีบติดต่อหรือพบแพทย์ในทันที หากพบว่ามีอาการบวมที่ใบหน้าและปาก หรือมีอาการหายใจติดขัด อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของการแพ้ยาปฏิชีวนะชนิดนี้นั่นเอง ซึ่งควรหยุดใช้ยาในทันทีและเข้าพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
ข้อควรระวังในการใช้ยา Amoxicillin
- คุณควรรู้ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยา Amoxicillin เอาไว้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดที่อาจต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาตัวนี้
- ถ้าคุณแพ้ยา Amoxicillin หรือแพ้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Penicillin หรือยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin หรือแพ้สิ่งอื่นๆ ให้แจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรทราบก่อนได้รับยานี้
- ผู้ป่วยเป็นโรคไต หรือติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น โรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส (Infectious mononucleosis) ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาตัวนี้
- ยา Amoxicillin อาจทำให้วัคซีนที่ทำจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไทฟอยด์วัคซีน ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ดี ดังนั้นอย่าฉีดวัคซีนระหว่างการใช้ยานี้ ยกเว้นแพทย์สั่ง
- ก่อนเข้ารับการผ่าตัด ให้แจ้งแพทย์ หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับรายการยา อาหารเสริม และสมุนไพรที่กำลังใช้อยู่

กาใช้ยา Amoxicillin ในผู้หญิงตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร
ระหว่างการตั้งครรภ์ ยา Amoxicillin ควรใช้เฉพาะในกรณีที่ประเมินแล้วว่ามีความจำเป็นจริงๆ โดยให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยง และประโยชน์ที่จะได้รับจากยานี้ขณะตั้งครรภ์
ยา Amoxicillin สามารถผ่านไปยังน้ำนมได้ จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนการให้นมบุตร
ปฏิกิริยาระหว่างยา Amoxicillin กับยาอื่น
ผลของยาบางชนิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ถ้าคุณรับประทานยาอื่น หรือสมุนไพรอื่นๆ ร่วมด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงที่ร้ายแรง หรือทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีดังเดิม
โดยปฏิกิริยาระหว่างยาสามารถเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้จำเป็นต้องเกิดขึ้นเสมอไป แพทย์ หรือเภสัชกรจะช่วยป้องกัน หรือจัดการเกี่ยวกับปฏิกิริยาระหว่างยาที่อาจเกิดขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ยา หรือติดตามอาการของคุณอย่างใกล้ชิด
เพื่อช่วยให้แพทย์ และเภสัชกรดูแลคุณได้อย่างดีที่สุด คุณต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรเกี่ยวกับรายการยา อาหารเสริม และสมุนไพรทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ก่อนเริ่มใช้ยา Amoxicillin และขณะที่ใช้ยา Amoxicillin อย่าเริ่มยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์
ยาที่อาจเกิดปฏิกิริยากับยา Amoxicillin ได้แก่ Methotrexate, ยาปฏิชีวนะในกลุ่ม Tetracyclines, Probenecid, Warfarin, ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใช้ตรวจเบาหวานจากปัสสาวะบางชนิด
ดังนั้นคุณจึงต้องแจ้งแพทย์ และเภสัชกรทราบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริม สมุนไพร ทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ เพื่อให้ทางแพทย์ และเภสัชกรช่วยคุณลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาจากการใช้ยาที่ร้ายแรง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– HDMall
– เว็บพบแพทย์
– เอกสารกำกับยา
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM