แอสไพริน (Aspirin) มีชื่อเต็มว่า Acetyl Salicylic Acid เป็นกลุ่มยา Salicylates ใช้สำหรับแก้ปวด ลดไข้ แก้อักเสบที่เราคุ้นเคยกันดี หากใช้ระยะยาวสามารถป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งลำไส้ได้ด้วย ซึ่งเมื่อก่อนยาแอสไพรินเปรียบเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ทุกบ้านต้องมีเลยทีเดียว เนื่องจากหาซื้อง่ายตามร้านสะดวกซื้อ ให้ประสิทธิภาพในการแก้ปวด ลดไข้ได้รวดเร็ว แต่หลังจากนั้นได้มีผลวิจัยออกมาว่า แอสไพรินมีผลข้างเคียงที่ส่งผลเสียกับร่างกาย ความนิยมจึงค่อยๆ ลดลง และหันไปใช้ยาพาราเซตามอลแทน
ข้อบ่งใช้ : บรรเทาอาการปวด ลดไข้ ลดการอักเสบ
การออกฤทธิ์ของ Aspirin
แอสไพรินนอกจากมีฤทธิ์ในการช่วยรักษาอาการอักเสบ อาการปวด และแก้ไข้ด้วยการยับยั้งกระบวนการผลิตสารพลอสตาแกลนดินแล้ว ยังมีกลไกการออกฤทธิ์ที่สำคัญคือ มีฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดโดยจะช่วยยับยั้ง Acetylating ซึ่งมีหน้าที่ทำให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกันเพื่อรักษาภาวะหลอดเลือดสมอง รวมถึงมีฤทธิ์กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งตาย (Apoptosis) เพื่อรักษาโรคมะเร็ง ทั้งนี้การป้องกันทั้งสองโรคนี้จะต้องทานแอสไพรินเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ทำให้แอสไพรินเกิดการใช้อย่างแพร่หลายทางการแพทย์
รูปแบบของยา Aspirin
แอสไพรินมีการผลิตออกมาใช้หลายรูปแบบ ทั้งแบบผง เม็ด และน้ำ แต่แอสไพรินไวต่อความร้อนและชื้นได้ง่าย จึงนิยมผลิตออกมาเป็นรูปแบบเม็ดโดยมีปริมาณบรรจุที่ 60-1,200 มิลลิกรัม ซึ่งรูปแบบเม็ดจะช่วยเลี่ยงการเสื่อมสลายของยาได้ดีกว่ารูปแบบอื่นๆ
ปริมาณการใช้ยา Aspirin
การใช้แอสไพรินสามารถแบ่งการรักษาออกตามขนาดของยา ดังนี้
- สำหรับรักษาอาการปวด ลดไข้ ผู้ใหญ่ทาน 320-650 มิลลิกรัม ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง
- สำหรับโรคข้อเสื่อม ผู้ใหญ่ทาน 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแพทย์จะแบ่งโดสให้ทาน
- สำหรับโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ผู้ใหญ่ทาน 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแพทย์จะแบ่งโดสให้ทานหรืออาจเพิ่มปริมาณในผู้ป่วยบางราย
- สำหรับการรักษาการต้านเกล็ดเลือด และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดอุดตัน เช่น เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองอุดตัน ปริมาณที่รับประทาน 75-325 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
การทานยาแอสไพรินควรทานพร้อมอาหารเพื่อเลี่ยงไม่ให้ยาระคายเคืองกระเพาะอาหาร สำหรับยาเม็ดห้ามกัดหรือเคี้ยวให้เม็ดยาแตกหักก่อนกลืน
ข้อควรระวังในการใช้ยา Aspirin
ผู้ที่สามารถใช้ยา Aspirin ได้
- ต้องมีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป หากต่ำกว่า 12 ปีจะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เท่านั้น
- ผู้ที่มีอาการปวด อักเสบ หรือเป็นไข้ ระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยา Aspirin คือ
- ผู้ที่มีอาการแพ้ยากลุ่ม NSAIDs ตัวอื่นๆ เช่น Ibuprofen, Piroxicam
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่
รวมถึงมีโรคประจำตัว อย่าง โรคภูมิแพ้ ภาวะโลหิตจาง โรคธาลัสซีเมีย โรคหอบหืด โรคตับ โรคไต โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเนื้องอกในโพรงมดลูก
- ผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดหรือถอนฟัน ห้ามใช้ยาแอสไพรินอย่างน้อยเป็นเวลา 3-7 วัน
- ผู้ที่มีประวัติเลือดออกในกระเพาะอาหารและสำไส้
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกผิดปกติหรือโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)
- ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- หญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรรับประทานแอสไพรินเพราะอาจทำให้มีเลือดออกผิดปกในขณะคลอด
- หญิงให้นมบุตรไม่ควรใช้แอสไพริน เนื่องจากตัวยาจะถูกส่งผ่านน้ำนมไปสู่เด็ก ทำให้เป็นอันตรายต่อทารก
ผลข้างเคียงของยา Aspirin
- อาหารไม่ย่อย และปวดท้อง ซึ่งการรับประทานยาหลังอาหารอาจช่วยลดอาการเหล่านี้ได้
- เลือดไหล หรือมีรอยช้ำบนผิวหนังได้ง่าย
- ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้น้อย มีดังนี้
- ผื่นลมพิษ คัน และมีผื่นเล็กๆทั่วตัว
- ได้ยินเสียงกริ่งในหู
- หายใจลำบาก หรือเป็นหอบหืด
- มีอาการแพ้ยา อาจจะมีอาการหายใจลำบาก ปากบวมหน้าบวม และผื่นขึ้นทั่วลำตัว
- เลือดออกภายใน อาจจะมีอาการคืออาเจียนเป็นเลือด หรืออุจจาระมีเลือดปน
- เลือดออกในสมอง มีอาการคือปวดศรีษะรุนแรง มองเห็นไม่ชัด หน้าและปากเบี้ยว
หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอาการแพ้ยารุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– web hdmall
– web doctorraksa
– web pobpad
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM