ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนัง ทางเลือกแทนการกินยาคุม

แผ่นแปะคุมกำเนิดประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินเช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม แต่ฮอร์โมนดังกล่าวจะถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือดแทนการรับประทาน ส่งผลให้ร่างกายยับยั้งการตกไข่และทำให้เยื่อเมือกบริเวณปากมดลูกก่อตัวหนาขึ้นเพื่อขัดขวางไม่ให้อสุจิปฏิสนธิกับไข่

แผ่นแปะคุมกำเนิด เป็นวิธีคุมกำเนิดรูปแบบหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 91-99 เปอร์เซ็นต์ เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการความสะดวกสบายหรือมีปัญหาลืมรับประทานยาคุมเป็นประจำ ใช้งานง่าย เพียงติดทิ้งไว้บนผิวหนังบริเวณท้อง สะโพก หลัง หรือต้นแขน สัปดาห์ละ 1 แผ่น แต่วิธีนี้ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

รูปแบบแผ่นแปะคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนัง เป็นแผ่นยารูปสี่เหลี่ยมหรือรูปกลม สีเนื้อหรือสีน้ำตาลอ่อน สำหรับใช้แปะบนผิวหนัง มีขนาดประมาณ 14-28 ตารางเซนติเมตร (ขึ้นกับแต่ละผลิตภัณฑ์) แผ่นยาแบ่งเป็นหลายชั้น (3-6 ชั้น ขึ้นกับแต่ละผลิตภัณฑ์) ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อการค้า อีฟรา (Evra) ที่มีใช้ในบ้านเรานั้นเป็นแผ่นยาสี่เหลี่ยมที่มีขนาด 20 ตารางเซนติเมตร มี 3 ชั้น ได้แก่ แผ่นรองยา (เมื่อติดผิวหนังจะอยู่บนสุด) เป็นฟิล์มพลาสติกและผ้าใยสังเคราะห์ที่ยืดหดได้ ช่วยป้องกันตัวยาจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ถัดมาเป็นชั้นของสารเหนียว (adhesive) ที่มีตัวยาฮอร์โมนพร้อมทั้งส่วนประกอบอื่น และชั้นบนสุดเป็นแผ่นฟิล์มใสเพื่อลอกออกก่อนแปะยา

วิธีการใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด

  • ใน 1 รอบการคุมกำเนิด (4 สัปดาห์หรือ 28 วัน) จะแปะยาสัปดาห์ละ 1 แผ่น ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์รวม 3 แผ่น แล้วเว้น 1 สัปดาห์เพื่อให้ประจำเดือนมา จากนั้นเริ่มแปะแผ่นยาสำหรับการคุมกำเนิดรอบใหม่ แผ่นยาจะปลดปล่อยตัวยาฮอร์โมนออกมาเพื่อให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง แต่ในช่วง 7 วันหรือสัปดาห์แรก ควรใช้การคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยาง
  • เริ่มแปะแผ่นยาภายใน 24 ชั่วโมงของวันแรกที่มีประจำเดือน และนับเป็นวันที่หนึ่งของการใช้ยาคุมกำเนิด ซึ่งวันเปลี่ยนแผ่นยาจะตรงกับวันที่แปะแผ่นยาคุมกำเนิดวันนี้ในทุกสัปดาห์ วิธีนี้จะมีผลในการคุมกำเนิดทันที ไม่ต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย

*ถ้าผู้ใช้มีรอบเดือนไม่ปกติ ก่อนใช้แผ่นยาคุมกำเนิดควรปรึกษาแพทย์ และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะการใช้อย่างไม่ถูกต้องจะเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ แต่หากต้องการมีบุตร สามารถหยุดใช้ได้ทันที โดยภาวะตกไข่ธรรมชาติจะเริ่มกลับมาภายใน 1 – 2 รอบเดือนหลังจากหยุดแปะแผ่นยา

ยาคุมกำเนิดแผ่นแปะผิวหนังเหมาะกับใคร
ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนังใช้ได้กับผู้หญิงอายุ 18-45 ปีที่ประสงค์จะคุมกำเนิด โดยผู้หญิงเหล่านี้มีค่าดัชนีมวลกาย (body mass index หรือย่อว่า BMI) ต่ำกว่า 30 กิโลกรัม/เมตร2 (ค่านี้ขึ้นกับน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมและส่วนสูงเป็นเมตร) และมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 90 กิโลกรัม (เนื่องจากยามีประสิทธิภาพลดลงในผู้ที่มีน้ำหนัก 90 กิโลกรัมหรือมากกว่านี้) ไม่ควรใช้ในผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะยาจะรบกวนปริมาณและคุณภาพน้ำนม นอกจากนี้ต้องไม่เข้าข่ายเป็นผู้ที่ห้ามใช้ดังกล่าวข้างล่างนี้ ด้วยเหตุนี้ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าไม่มีโรคหรือความผิดปกติใดที่เป็นข้อห้ามใช้สำหรับยาคุมกำเนิดชนิดนี้

ผู้ที่ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะผิวหนัง

  • แพ้ยา ไม่ว่าจะแพ้ส่วนประกอบชนิดใดในผลิตภัณฑ์ที่จะใช้นั้น
  • ตั้งครรภ์หรือมีความเสี่ยงว่าจะตั้งครรภ์ ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงจะต้องผ่านการตรวจก่อนว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ จึงสามารถใช้ยาได้
  • ตับทำงานบกพร่อง ไม่ว่าจะเกิดจากโรคตับเฉียบพลันหรือโรคตับเรื้อรัง
  • เป็นโรคมะเร็งตับหรือโรคเนื้องอกในตับ
  • มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (venous thromboembolism) หรือมีประวัติว่าเคยเกิดอาการ หรือมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าว (เช่น อายุมากกว่า 35 ปีและสูบบุหรี่, โรคเบาหวานขั้นรุนแรง, โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้, โรคไขมันในเลือดสูงขั้นรุนแรง) และหากภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำเกิดขึ้นขณะใช้ยาให้หยุดใช้ทันที
  • มีภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดง (arterial thromboembolism) หรือมีประวัติว่าเคยเกิดอาการ (เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, สมองขาดเลือด) หรือเคยเกิดอาการนำ (เช่น อาการปวดเค้นอก, สมองขาดเลือดชั่วขณะ) หรือมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าว (เช่น สูงอายุ, สูบบุหรี่, โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้, โรคไขมันในเลือดสูงขั้นรุนแรง, โรคอ้วน, โรคไมเกรนที่เคยเกิดความผิดปกติทางระบบประสาทเฉพาะที่ เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขนไม่มีแรงหรือชา เดินเซ) และหากภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงเกิดขึ้นขณะใช้ยาให้หยุดใช้ทันที
  • เป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคมะเร็งเต้านม, โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, หรือมีโรคเนื้องอกชนิดที่ไวต่อการกระตุ้นด้วยฮอร์โมนพวกเอสโตรเจนและ/หรือฮอร์โมนพวกโพรเจสติน
  • มีเลือดออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ

ข้อดีของแผ่นแปะคุมกำเนิด

  • มีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
  • เปลี่ยนแผ่นแปะเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ต่างกับยาคุมกำเนิดที่ต้องรับประทานทุกวัน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยาเม็ด
  • ฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย
  • แผ่นคุมกำเนิดจะปล่อยฮอร์โมนออกมาควบคุมการตั้งครรภ์อย่างสม่ำเสมอ
  • หากต้องการตั้งครรภ์ สามารถนำแผ่นแปะคุมกำเนิดออกได้ทันที และจะกลับเข้าสู่ภาวะเจริญพันธุ์ได้ตั้งแต่หยุดใช้
  • อาจช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติและปวดประจำเดือนน้อยลง รวมถึงช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน เช่น คัดตึงเต้านมคัดตึง อ่อนล้า อารมณ์แปรปรวน เป็นต้นน
  • อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก และมะเร็งลำไส้
  • อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอก ก้อนเนื้อที่เต้านม และซีสต์ที่รังไข่

ผลข้างเคียงของแผ่นแปะคุมกำเนิด

  • รู้สึกเจ็บแสบ คัน หรือระคายเคืองบริเวณผิวหนังที่ติดแผ่นแปะคุมกำเนิด
  • มีอาการปวดศรีษะ คลื่นไส้ เต้านมคัดตึง และมีอารมณ์แปรปรวน โดยอาการมักดีขึ้นเมื่อใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดได้ 2-3 เดือน
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดทีละมาก ๆ หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ซึ่งเกิดขึ้นได้เป็นปกติในระยะแรกที่เริ่มใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด

ลืมเปลี่ยนแผ่นแปะคุมกำเนิด ควรทำอย่างไร
การเปลี่ยนแผ่นแปะคุมกำเนิดไม่ตรงเวลาส่งผลให้ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ลดลง ซึ่งวิธีแก้ไขเมื่อลืมเปลี่ยนแผ่นแปะคุมกำเนิดขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เกินกำหนด ดังนี้

  • เกินกำหนดน้อยกว่า 48 ชั่วโมง หรือติดแผ่นแปะคุมกำเนิดไว้ 8-9 วัน ให้รีบเปลี่ยนทันทีที่นึกได้ โดยคงกำหนดการเปลี่ยนแผ่นใหม่ไว้ดังเดิม และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นเสริม
  • เกินกำหนดมากกว่า 48 ชั่วโมง หรือติดแผ่นแปะคุมกำเนิดไว้ 10 วันขึ้นไป ให้เปลี่ยนทันทีที่นึกได้ โดยเริ่มนับเป็นวันแรกที่ใช้ และปรับกำหนดการเปลี่ยนแผ่นถัดไปตามวันดังกล่าวใหม่ทั้งหมด นอกจากนั้น ควรใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นเสริมในช่วง 7 วันหลังจากเปลี่ยนแผ่นใหม่ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น

ทั้งนี้ หากลืมลอกแผ่นเก่าออกเมื่อครบกำหนดในสัปดาห์ที่ 4 ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ไม่ต้องติดแผ่นแปะคุมกำเนิด ให้ลอกออกทันทีที่นึกได้ และเริ่มแปะแผ่นใหม่เมื่อถึงกำหนดครั้งถัดไปตามปกติ

แผ่นแปะคุมกำเนิดหลุดควรทำอย่างไร
โดยปกติ แผ่นแปะคุมกำเนิดหลุดออกจากผิวหนังได้ค่อนข้างยาก มีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ผู้ใช้สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ เช่น เล่นกีฬา อาบน้ำ แช่น้ำร้อน ซาวน่า ว่ายน้ำ เป็นต้น ทั้งนี้ วิธีการแก้ไขเมื่อแผ่นแปะคุมกำเนิดหลุดขึ้นอยู่กับว่าแผ่นแปะหลุดออกมานานเพียงใด ดังนี้

  • หลุดไม่ถึง 24 ชั่วโมง อาจติดแผ่นแปะคุมกำเนิดเดิมให้เข้าที่หรือเปลี่ยนแผ่นใหม่ โดยคงกำหนดการเปลี่ยนแผ่นถัดไปไว้ดังเดิม
  • หลุดมานานกว่า 24 ชั่วโมง หรือไม่ทราบเวลาแน่ชัด ให้เปลี่ยนแผ่นใหม่ทันที โดยเริ่มนับเป็นวันแรกที่ใช้ และปรับกำหนดการเปลี่ยนแผ่นถัดไปตามวันดังกล่าวใหม่ทั้งหมด นอกจากนั้น ควรใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นเสริมในช่วง 7 วันหลังจากเปลี่ยนแผ่นใหม่ด้วย

ข้อควรรู้อื่นๆ

  • ห้ามหยุดใช้ยา ถึงแม้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ไม่บ่อยก็ตาม
  • แจ้งแพทย์ให้ทราบทุกครั้งว่ามีการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นอยู่ เนื่องจากยาบางอย่างอาจลดประสิทธิภาพการคุมกำเนิดลง
  • ผลข้างเคียง เช่น การเจ็บตึงหน้าอก คลื่นไส้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ ระคายเคืองผิวหนังบริเวณแปะแผ่นยา จัดเป็นอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นไม่บ่อย ส่วนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของผู้ใช้
  • ภาวะท้องเสียหรืออาเจียน ไม่มีผลกระทบต่อการดูดซึมของฮอร์โมน

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– มหาวิทยาลัยมหิดล
– คณะเภสัชศาสตร์
– โรงพยาบาลสมิติเวช,
– pobpad.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี