เมื่ออายุมากขึ้นเป็นธรรมดาที่ต้องเผชิญกับฝ้าและปัญหาผิวมากมาย เพราะการผลัดเซลล์ผิวที่ใช้เวลานานขึ้นตามอายุหรือผิวโดนทำร้ายจากมลภาวะและสภาพแวดล้อมได้ง่าย แม้ว่าฝ้าจะเป็นปัญหาที่ไม่เป็นอันตราย แต่อาจทำให้เราสูญเสียความมั่นใจได้ไม่น้อยเมื่อส่องกระจกแล้วเห็นรอยด่างดำกระจายอยู่ทั่วใบหน้า
ฝ้ามีส่วนคล้ายคลึงกับปัญหาผิวอย่างกระ หากต้องการรักษาให้หายควรปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่ตรงจุด อย่างไรก็ตาม ฝ้าหรือจุดด่างดำตามวัยอาจจางลงได้หากเราดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับวัย 40 ที่เหมาะสมและมีคุณภาพ ใช้ยาหรือเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ลักษณะของฝ้าในวัย40+
หนึ่งในปัญหาผิวของคนในช่วงวัยทองคือการเป็น “ฝ้า” ซึ่งรอยฝ้าอาจจะเริ่มหนาและมีสีที่เข้มมากขึ้นตามลำดับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยกระตุ้นอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ การที่ผิวสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานานและบ่อยๆ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมนในร่างกาย ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ ซึ่งสามารถพบฝ้าได้ทั่วใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก โหนกแก้ม เหนือริมฝีปาก รวมถึงบริเวณจมูก ซึ่งจากการสำรวจพบว่าจะเกิดฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับระบบฮอร์โมนในขณะตั้งครรภ์(Mark of pregnancy) หรือเป็นฝ้าที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในระหว่างวัยหมดประจำเดือน หรือฝ้าที่เกิดจากการรับประทานยาบางกลุ่มที่มีผลต่อการคุมกำเนิด โดยฝ้าที่พบได้ในวัยทอง มีดังต่อไปนี้
1.ฝ้าชนิดตื้น (Epidermal Type)
เกิดขึ้นเนื่องจากการสร้างเม็ดสีเมลานินที่มากกว่าปกติในระดับชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นนอก มีลักาณะเป็นสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีเทาดำ มองเห็นขอบเขตของฝ้าได้ชัด สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย สามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสม แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งเอาไว้ อาจลุกลามกลายเป็นฝ้าที่มีระดับความรุนแรงที่มากกว่าได้
2.ฝ้าชนิดลึก (Dermal Type)
เป็นฝ้าที่มักเกิดขึ้นในระดับชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ใต้ผิวหนังกำพร้า มักจะมีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีเทาอมฟ้าหรือสีม่วงอมน้ำเงิน มีขอบเขตฝ้าไม่ชัดเจน โดยจะกลืนไปกับผิวหน้าเป็นบริเวณกว้าง รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น
3.ฝ้าชนิดผสม (Mix Type)
เป็นลักษณะของฝ้าที่ผสมกันระหว่างฝ้าลึกและฝ้าตื้น มักเกิดกับผู้ที่มีอายุมากขึ้น เกิดทั้งในระดับผิวหนังชั้นนอกและผิวหนังแท้ โดยมีจุดสังเกตคือบริเวณกลางของแผ่นฝ้ามักจะมีสีเข้มจัด ส่วนรอบๆแผ่นฝ้าจะมีสีที่จางกว่า
ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดฝ้าในวัย40+
สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ส่งผลต่อผิวพรรณได้โดยตรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็มีปัจจัยกระตุ้นที่เพิ่มโอกาสในการทำให้เกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น ดังนี้
1.พันธุกรรม
หากคนในครอบครัวมีประวัติในการเป็นฝ้ามาก่อน มีรายงานว่าโอกาสที่คนรุ่นต่อมาจะเป็นฝ้ามีมากถึง 50% เลยทีเดียว โดยเฉพาะคนที่มีผิวสีคล้ำ
2.แสงแดด
แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นชั้นยอดที่ทำให้เกิดฝ้าได้โดยง่าย โดยคนส่วนใหญ่มักเป็นฝ้าในบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดอยู่เป็นประจำและสม่ำเสมอ เช่นบริเวณจมูก แก้ม หน้าฝาก และฝ้าจะมีสีเข้มมากขึ้น เมื่อสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน ซึ่งแสงที่ทำให้เกิดฝ้าไม่เพียง UV-A หรือ UV-B เท่านั้น แต่รวมถึง Visible light แสงจากจอคอมพิวเตอร์หรือจากมือถือด้วย
3.การใช้ยาบางชนิด
ยางบางชนิด เสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดฝ้า เพราะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ยากันชัก (Anticonvulsant) ยาปฏิชีวนะบางชนิด กลุ่มยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาขับปัสสาวะ (Diuretics Drugs) เรตินอยด์ (Retinoid) กลุ่มยาลดน้ำตาลในเลือด (Hypoglycaemics) ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) และยารักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)
4.ฮอร์โมน
ไม่เพียงวัย40+ หรือวัยหมดประจำเดือนเท่านั้น ที่เกี่ยวข้องกับระบบฮอร์โมนและกระตุ้นให้เกิดฝ้า แต่ฝ้าฮอร์โมนยังเกี่ยวกับภาวะการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2-3 การให้ฮอร์โมนทดแทน(Hormone Replacement Therapy) การทานยาคุมกำเนิด รวมถึงการใช้เครื่องสำอางที่มีฮอร์โมนเป็นส่วนผสมด้วย
5.แพ้น้ำหอมหรือเครื่องสำอาง
เนื่องจากสารที่ให้ความหอมบางชนิด สามารถทำปฏิกิริยากับแสงแดด แล้วทำให้เกิดรอยคล้ำขึ้นได้ เช่น สบู่หอม หรือน้ำยาที่ใช้หลังการโกนหนวด เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารอันตราย เช่น ปรอท สเตียรอยด์ หรือไฮโดรควินโนน ก็สามารถทำให้เกิดรอยดำหรือฝ้าตามมาได้
6.ภาวะทุพโภชนา
เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่มีความเป็นไปได้และเกี่ยวข้องการกับการเกิดฝ้าในวัย40+ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องการทำงานของตับที่ผิดปกติ รวมถึงผู้ที่ขาดวิตามิน บี 12 เป็นต้น
7.ภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism) ก็สามารถทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน
8.ปัจจัยอื่นๆที่สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าเช่น ความเครียด แสง LED หรือเตียงอบผิวแทน ที่ทำให้ผิวเกิดความร้อนที่เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
เคล็ดลับจัดการฝ้าและปัญหาผิวด้วยตัวเอง
แม้ฝ้าจะรักษาได้ยากและอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่เราอาจลดความเสี่ยงของการเกิดฝ้าและจุดด่างดำตามวัยได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ปกป้องผิวจากแสงแดด รวมทั้งหมั่นดูแลสุขภาพผิวด้วยสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม ดังนี้
1.ครีมกันแดด
เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสียูวี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าบนใบหน้าและผิวแก่ก่อนวัย โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF30–50 (Sun-Protection Factor) และต้องไม่ลืมทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันที่ยาวนาน
2.สกินแคร์สำหรับดูแลผิววัย 40 ที่มีสารช่วยลดปัญหาสีผิว
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแต่ละยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมที่คล้ายและต่างกันไป บางผลิตภัณฑ์อาจรวมส่วนผสมหลาย ๆ ตัวเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยรักษาฝ้าและลดปัญหาผิวที่มักพบได้บ่อยในคราวเดียว ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้มากขึ้น โดยส่วนผสมที่นิยมใช้กัน เช่น
- สารในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้นและลดการอุดตันในรูขุมขน แต่อาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้โดยเฉพาะหากใช้เป็นครั้งแรกหรือใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยชนิดอื่น
- ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ช่วยลดเลือนรอยหรือจุดด่างดำในบริเวณที่ต้องการโดยมักเห็นผลหลังใช้ไป 4 สัปดาห์ แต่มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อันตราย ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง
- สาร Isobutylamido Thiazolyl Resorcinol เป็นสารไวท์เทนนิ่งในกลุ่มรีซอร์ซินอล (Resorcinol) ที่ได้รับการยอมรับจากงานวิจัยหลายชิ้นว่า มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำตามวัย โดยจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ภายใน 2 สัปดาห์ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลังจากให้ผู้ทดสอบลองใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
- อาร์คทิอิน (Arctiin) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลปัญหาผิวอีกตัว จากการศึกษาบางส่วนในหลอดทดลองและในสัตว์พบว่า สารนี้อาจช่วยในการแก้ปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นตามวัย โดยช่วยลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า ฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงและทำให้ผิวยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
- ไฮยาลูรอน (Hyaluron) หรือกรดไฮยาลูนิก (Hyaluronic Acid) จริง ๆ แล้ว เป็นสารที่คล้ายคลึงกับสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยต่อร่างกายอย่างมาก โดยจะช่วยกักเก็บน้ำไว้ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น อวบอิ่ม ดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ ซึ่งไฮยาลูรอนที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ ให้ดูเรียบเนียน ส่วนไฮยาลูรอนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจะช่วยเติมริ้วรอยในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป
นอกจากการใช้สกินแคร์ดูแลผิวแล้ว ยังสามารถปกป้องสุขภาพผิวในแต่ละวันได้โดยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง เช่น กางร่ม สวมหมวกหรือเสื้อแขนยาวปกป้องผิวหนังจากแสงและรังสียูวี หลีกเลี่ยงการอาบแดด หลีกเลี่ยงเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือสบู่กลิ่นหอมที่ก่อการระคายเคืองผิวหน้า รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังอย่างเนื้อสัตว์ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า ตับ นม หรือไข่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากดูแลตัวเองควบคู่กับการใช้สกินแคร์แล้ว ฝ้าและปัญหาผิวต่าง ๆ ไม่หายไปหรือทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาที่เหมาะกับอาการ แนะนำการทำเลเซอร์หรือการรักษาอื่นเพิ่มเติม เพื่อช่วยเสริมให้ฝ้าและรอยด่างดำจางลงเร็วขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– web pobpad
– web mesoestetic
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM