แผลร้อนใน (แผลในปาก)
แผลร้อนใน เป็นแผลในปาก มีลักษณะเป็นรูปวงกลมหรือวงรี สีขาวหรือออกเหลือง รอบรอยแผลจะแดง มีขนาดเล็ก 1 มม. หรืออาจจะใหญ่ได้ถึง 0.5 – 1 นิ้ว อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บและระคายเคืองภายในปากเวลากินอาหาร
สาเหตุของแผลร้อนในการเข้าใจสาเหตุของแผลร้อนในเบื้องต้นอาจช่วยให้คุณสามารถใช้ยาแก้ร้อนในได้อย่างมีประสิทธิภาพและดูแลตนเองได้ดีมากขึ้น โดยสาเหตุและปัจจัยของการเกิดแผลร้อนในที่พบได้บ่อย เช่น
- การบาดเจ็บจากการแปรงฟันแรงเกินไป การใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง
- ผลข้างเคียงจากการทำทันตกรรม
- การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ
- การดื่มน้ำร้อนจัด
- การกัดลิ้น ริมฝีปาก หรือกระพุ้งแก้มโดยไม่ตั้งใจ
- การระคายเคืองและอักเสบจากส่วนประกอบในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก โดยเฉพาะสารเอสแอลเอส (SLS: Sodium Lauryl Sulfate) หรืออาจเกิดจากภาวะไวต่ออาหาร (Food Sensitive) ที่พบได้ในบางคน ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดจากการตอบสนองต่ออาหารบางชนิดมากกว่าปกติ แต่ไม่ใช่อาการแพ้อาหาร ส่วนมากมักเป็นอาหารในกลุ่มช็อกโกแลต กาแฟ สตรอเบอร์รี่ ไข่ ถั่ว อาหารที่มีรสเผ็ดร้อนและรสเปรี้ยว
- ภาวะขาดสารอาหารประเภทวิตามินบี 12 โฟเลท สังกะสี และเหล็ก
การติดเชื้อภายในช่องปาก
อย่างการติดเชื้อแบคทีเรียเอชไพโลไร (H. Pylori: Helicobacter Pylori) ภายในช่องปาก ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับเชื้อที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร คนที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารและเกิดแผลร้อนในก็อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากเชื้อชนิดนี้ แต่การติดเชื้อภายในช่องปากจากเชื้อโรคชนิดอื่นก็สามารถกระตุ้นให้เกิดแผลภายในปากได้เช่นกัน
ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคเซลิแอค (Celiac disease) หรือโรคแพ้กลูเตน กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวนหรือ IBS โรคเบเซ็ท (Behcet’s Disease) ภาวะติดเชื้อเอชไอวี และโรคเอดส์
ปัจจัยอื่น เช่น พันธุกรรม ความเครียด ภาวะอารมณ์ด้านลบ การพักผ่อนไม่เพียงพอ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงก่อนมีประจำเดือน เป็นต้น
ชนิดของยาแก้ร้อนในและวิธีใช้ให้มีประสิทธิภาพ
มาดูกันว่ายาแก้ร้อนในจะมีรูปแบบและวิธีการใช้อย่างไรบ้าง
1 ยาทาแก้ร้อนใน
เป็นยาแก้ร้อนในที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดี ตัวยามักอยู่ในรูปแบบของขี้ผึ้ง เจล และครีม ซึ่งตัวยาในยาทาแก้ร้อนในแบ่งออกได้หลายชนิด ดังนี้
- ชนิดแก้ปวดและแก้อักเสบ ยาป้ายปากในกลุ่มนี้มักประกอบด้วยยาเบนโซเคน (Benzocaine) และลิโดเคน (Lidocaine) ที่ออกฤทธิ์ช่วยลดความรู้สึกบริเวณแผล ทำให้ปวดน้อยลง ส่วนฤทธิ์ต้านการอักเสบมาจากยาในกลุ่มสเตียรอยด์ความแรงต่ำ อย่างยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) และฟลูโอซิโนไนด์ (Fluocinonide) ซึ่งช่วยบรรเทาการอักเสบของแผลในปาก แต่ถึงแม้จะเป็นสเตียรอยด์ความแรงต่ำก็ควรใช้ตามที่แพทย์และเภสัชกรแนะนำ
- ชนิดฆ่าเชื้อยาแก้ร้อนในกลุ่มนี้จะผสมยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาแผลร้อนในที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งยาชนิดนี้จำเป็นต้องผ่านการวินิจฉัยและสั่งจ่ายจากแพทย์เท่านั้น
การใช้ยาทาแก้ร้อนเพียงแค่ป้ายยาลงบนแผลภายในปาก เนื้อของตัวยาชนิดทาจะช่วยปกปิดแผลจึงช่วยให้แผลฟื้นฟูได้ดีขึ้น และก่อนการป้ายยาลงบนแผลทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาดเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
2 น้ำยาบ้วนปากแก้ร้อนใน
แพทย์จะสั่งจ่ายเมื่อผู้ป่วยมีแผลในปากหลายตำแหน่ง เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากแก้ร้อนในมักผสมสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและบรรเทาปวด และบางชนิดอาจมียาฆ่าเชื้อผสมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งยาสเตียรอยด์และยาฆ่าเชื้อเป็นยาที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง จึงควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
3 ยาอื่น ๆ
ยาแก้ปวดชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAID) อย่างไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และนาพรอกเซน (Naproxen) หรือยาแก้ไข้อย่างพาราเซตามอล ก็สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดจากแผลในช่องปากได้เช่นกัน แต่จะไม่มีฤทธิ์รักษาแผลร้อนในโดยตรง
4 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
หากสาเหตุของแผลร้อนในมาจากการขาดสารอาหาร แพทย์อาจสั่งจ่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตามชนิดของวิตามินหรือแร่ธาตุที่ผู้ป่วยขาดไปเพื่อชดเชยสารอาหารชนิดนั้น ๆ ให้กับร่างกาย ส่วนใหญ่มักเป็นสารอาหารในกลุ่มวิตามินบี และแร่ธาตุ อย่างสังกะสี
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ยาแก้ร้อนในและความปลอดในการใช้ ควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรเกี่ยวกับอาการที่พบอย่างละเอียด โรคประจำตัว ยาที่ใช้เป็นประจำ และยาที่แพ้ รวมถึงหากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมลูกก็ควรแจ้งด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ คนที่ใช้ยาแก้ร้อนในชนิดทาหรือยาบ้วนปากผสมสเตียรอยด์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือแพทย์พบว่าแผลร้อนในเกิดจากปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ต้องใช้ยารูปแบบอื่นในการรักษา แพทย์อาจสั่งจ่ายยาชนิดอื่นเพื่อรักษาโรคนั้น ๆ หรือแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแบบอื่นเพิ่มเติม ซึ่งอาจไม่ใช่การรักษาแผลร้อนในโดยตรง
นอกจากนี้ การดูแลตนเองควบคู่กับการใช้ยาแก้ร้อนในอาจช่วยเร่งให้แผลหายได้เร็วและป้องกันกลับมาเป็นแผลซ้ำได้ จึงควรดูแลตนเองด้วยวิธีต่อไปนี้
- งดอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเผ็ด รสเปรี้ยว และรสเค็ม
- งดอาหารที่มีเนื้อแข็ง กรอบ และมีผิวขรุขระ
- งดเครื่องดื่มร้อน น้ำผลไม้รสเปรี้ยว และน้ำอัดลม
- งดเคี้ยวหมากฝรั่ง
- กินอาหารที่มีประโยชน์เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
- รักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างเหมาะสมเป็นประจำ
- ใช้ยาสีฟันสูตรอ่อนโยน ปราศจากสารก่อระคายเคือง โดยเฉพาะสารเอสแอลเอส
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และออกแรงแปรงในการแปรงฟันอย่างเหมาะสม
- พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
การป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดแผลในปาก
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
- ทำความสะอาดปากโดยการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม เผ็ด หรือมีรสเปรี้ยวจัดเกินไป
- จัดการกับความเครียด
อย่างไรก็ตาม หากเกิดแผลในปากเรื้อรัง อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์ ใช้ยาแก้ร้อนในแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาการรุนแรงขึ้น จำนวนแผลเพิ่มมากขึ้น เกิดแผลบริเวณริมฝีปากด้านนอก หรือพบอาการอื่น ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกวิธี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– medparkhospita.com
– เว็บพบแพทย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM