แคลเซียมที่เราเจอในตลาดมีหลายแบบ แต่ละแบบก็มีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกัน วันนี้จะอธิบายให้ฟังว่าแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate)และแคลเซียมซิเทรต (Calcium Citrate) แตกต่างกันยังไง และแบบไหนเหมาะกับคุณ
1. เรื่องของการดูดซึม
แคลเซียมที่เรากินเข้าไปไม่ได้ดูดซึมได้เท่ากันทุกชนิด บางแบบดูดซึมน้อย บางแบบดูดซึมดีจนคุ้มค่าทุกเม็ดที่กิน
- แคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมตัวนี้ราคาถูกและมีปริมาณแคลเซียมแท้จริงสูงถึง 40% แต่ข้อเสียคือการดูดซึมต่ำมาก เพียง 10% เท่านั้น หมายความว่าถ้ากิน 1,000 มก. คุณจะได้แคลเซียมจริงๆ แค่ 40 มก. แถมยังต้องกินพร้อมอาหารเพราะต้องใช้กรดในกระเพาะช่วยละลาย ทำให้คนที่เป็นโรคกระเพาะอาจลำบาก
- แคลเซียมซิเทรต ดูดซึมได้ดีกว่ามากถึง 50% ถ้ากิน 1,000 มก. คุณจะได้แคลเซียมถึง 105 มก. ไม่ต้องพึ่งกรดในกระเพาะอาหาร กินตอนไหนก็ได้ทั้งตอนท้องว่างและพร้อมอาหาร
2. ความสะดวกในการกิน
- แคลเซียมคาร์บอเนต ข้อนี้คาร์บอเนตค่อนข้างลำบาก เพราะต้องกินพร้อมอาหารเพื่อการดูดซึม ถ้าไม่ได้กินอาหารเช้า อาจดูดซึมได้ไม่เต็มที่
- แคลเซียมซิเทรต สะดวกมาก เพราะไม่ต้องพึ่งกรดในกระเพาะอาหาร กินได้ตลอดทั้งวัน เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องกระเพาะหรือระบบย่อย
3. ผลข้างเคียงที่ต้องระวัง
- แคลเซียมคาร์บอเนต อาจเกิดปัญหาท้องอืดหรือท้องผูก เนื่องจากการดูดซึมต่ำ แคลเซียมที่เหลืออาจตกค้างในลำไส้และเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว
- แคลเซียมซิเทรต ผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลยเพราะดูดซึมได้ดีกว่า และปลอดภัยกับระบบย่อย
4. ราคา
- แคลเซียมคาร์บอเนต ราคาถูกที่สุด เหมาะกับคนที่งบน้อยและไม่มีปัญหาเรื่องระบบย่อย
- แคลเซียมซิเทรต ราคาปานกลาง สมดุลระหว่างคุณภาพและราคา เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป
5. การป้องกันกระดูกพรุนระยะยาว
- แคลเซียมคาร์บอเนต ช่วยป้องกันกระดูกพรุนได้ในระดับหนึ่ง แต่ต้องระวังเรื่องการดูดซึมต่ำและผลข้างเคียง
- แคลเซียมซิเทรต ป้องกันกระดูกพรุนได้ดีและปลอดภัยสำหรับทุกเพศทุกวัย มีประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเสริมสร้างกระดูกในระยะยาว
แคลเซียมซิเทรตถือเป็นตัวเลือกที่สมดุลที่สุด ดูดซึมได้ดี ไม่ต้องพึ่งกรดในกระเพาะอาหาร ราคาไม่สูงเกินไป และปลอดภัยกับระบบย่อย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมแคลเซียมในชีวิตประจำวัน เพื่อกระดูกแข็งแรงระยะยาว และลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการสะสมผิดที่ของแคลเซียม
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุ
- อายุ < 40 ปี 800 mg / วัน = นม 3 – 4 แก้ว
- วัยทอง (~50 ปี) 1000 mg / วัน = นม 4 – 5 แก้ว
- ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์, อายุ > 60ปี 1200 mg / วัน = นม 6 – 7 แก้ว
- ผู้หญิงมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนมากถึง 30 – 40% ส่วนผู้ชาย 10%
- 10 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน กระดูกจะบางลงเร็วมาก เกิดจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง หรือ Estrogen การเสริม Calcium จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน
หากกินแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไปจนเกิดการสะสม จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต หินปูนในเต้านม มะเร็งเต้านม หินปูนในหลอดเลือด และหลอดเลือดตีบตัน
ปัจจัยเสี่ยงขาดแคลเซียม
ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายขาดแคลเซียม ได้แก่
- กินแคลเซียมไม่พอ
- ไม่ออกกำลังกาย
- ดื่มกาแฟเกินขนาด
- ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ขาดฮอร์โมน Estrogen ก่อนวัยหมดประจำเดือน เช่น ต้องผ่าตัดรังไข่ 2 ข้างออก
- มีโครงร่างเล็ก
- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน
- เคยกระดูกหักมาก่อน
ใครกำลังเลือกแคลเซียม อย่าลืมดูทั้งเรื่องการดูดซึม ความปลอดภัย และความสะดวกในการรับประทาน จะได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดนะคะ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลกรุงเทพ
– เพจหมอเจด
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM