ยาคุมกำเนิด ดรอสไพรีโนน (Drospirenone) สำหรับแม่ให้นมบุตร

ในขณะคุณแม่ให้นมบุตรนั้น จะมีการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินจากต่อมใต้สมองซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ดังนั้น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นการคุมกำเนิดหลังคลอดวิธีหนึ่ง แต่การคุมกำเนิดวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพดีเฉพาะ ในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด และคุณแม่ต้องไม่มีประจำเดือน ซึ่งในทางปฏิบัติทำได้ยาก ดังนั้นจึงแนะนำให้มารดาคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย ซึ่งการคุมกำเนิดที่สามารถเลือกใช้โดยไม่มีผลต่อการให้นมบุตรหรือสุขภาพของทารกอีกหนึ่งวิธีคือ การใช้ยายาคุมกำเนิด ดรอสไพรีโนน

ยา ดรอสไพรีโนน หรือ 1, 2-dihydrospirorenone) คือ ฮอร์โมนเพศชนิดสังเคราะห์ เป็นชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบยาเม็ดและเป็นฮอร์โมนบำบัดสำหรับสตรีวัยหมดประจำเดือน ดรอสไพรีโนนเป็นโพรเจสตินรุ่นที่ 4 ที่มีการพัฒนาให้มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชายแอนโดรเจน จึงทำให้เกิดสิว ขนดก หรือหน้ามันได้น้อยมาก

ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ 1 แผงประกอบด้วยยา 28 เม็ด แนะนำในเริ่มกินในช่วงวันที่ 21-28 หลังคลอดบุตร แต่หากกินหลังจากนั้น สามารถกินได้แต่ช่วง 7 วันแรกที่กินยาคุมกำเนิดชนิดนี้ หากมีเพศสัมพันธ์แนะนำให้คุมกำเนิดโดยการใช้ถุงยางร่วมด้วย ชื่อการค้าที่เป็นที่รู้จักกันในตลาดต่างประเทศของยานี้คือ Yaz และ Yasmin โดยในสูตรตำรับ มีสัดส่วนการผสมของดรอสไพรีโนนกับฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดอื่นร่วมกันเช่น Drospirenone 3 มิลลิกรัม + Ethinylestradiol 20 ไมโครกรัม แถบอเมริกายังมีการผสม Folate (Folic acid) เพิ่มเข้าไปในสูตรตำรับอีกด้วยโดยใช้ชื่อการค้าว่า Beyaz

ดรอสไพรีโนนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาดรอสไพรีโนนเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ประเภทโปรเจสติน (Synthetic progestins) กลไกการออกฤทธิ์คือ เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะซึมเข้าเนื้อเยื่อต่างๆเช่น อวัยวะของระบบสืบพันธุ์ ต่อมน้ำนม สมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัสและพิทูอิทารี (Pituitary gland/ต่อมใต้สมอง) โดยจะเข้าจับกับตัวรับ (Receptor)ที่มีชื่อว่า Progesterone receptor ส่งผลไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนโกนาโดโทรฟิน (Gonadotropin releasing hormone) ที่หลั่งจากสมองไฮโปธาลามัสส่งผลทำให้เกิดการชะลอของการตกไข่ในสตรีเพศ จากกลไกเหล่านี้จึงทำให้เกิดฤทธิ์ของการคุมกำเนิดและฤทธิ์ต่างๆตามสรรพคุณ

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ห้ามใช้ในบุคคลที่มีภาวะเหล่านี้

  • หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการศึกษาที่รายงานว่ายาคุมกำเนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์
  • มะเร็งเต้านม เนื่องจากยาคุมกำเนิดอาจส่งเสริมการโตของเนื้อร้ายเหล่านี้ได้
  • เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากสาเหตุของเลือดออกผิดปกติอาจมาจากปัญหาอื่น ๆ ทางระบบสืบพันธ์ที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน
  • เนื้องอกที่ตับ ตับแข็ง ตับวายเฉียบพลัน เนื่องจากยาถูกกำจัดที่ตับ ถ้าตับมีความผิดปกติอาจทำให้ยาสะสมในร่างกาย รวมถึงยาคุมกำเนิดอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้
  • โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้
  • โรคลิ่มเลือดอุดตันแบบเฉียบพลัน

ผลข้างเคียง

  • อาการข้างเคียงที่พบบ่อยและถือเป็นปกติ: เช่น คัดตึงเต้านมไม่มาก ปวดหัวบ้างประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น มาเร็วหรือมาช้ากว่ากำหนด และมีอาการคลื่นไส้ไม่มาก
  • อาการข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น ประจำเดือนมาช้าหรือมามากกว่าปกติ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาเจียน
  • อาการข้างเคียงที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดเช่น ปวดท้อง หนาวสั่น มีไข้ ปวดหัวมาก ปัสสาวะ – อุจจาระมีสีคล้ำ อึดอัดหายใจไม่สะดวก/หายใจลำบาก ผื่นคัน เบื่ออาหารมาก พูดจากไม่ชัด หูอื้อ แขน – ขาอ่อนแรง รู้สึกเหม็นกลิ่นต่างๆมาก ตาพร่า อาเจียนเป็นเลือด ตาเหลือง-ตัวเหลือง ซึ่งเมื่อมีอาการเหล่านี้ต้องรีบไปโรงพยาบาลหรือไปโรงพยาบาลทันทีขึ้นกับความรุนแรงของอาการ
  • อาการข้างเคียงที่พบได้น้อยมากๆ เช่น มีอารมณ์ซึมเศร้า อยากร้องไห้ อารมณ์เหวี่ยง/อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักตัวเพิ่ม และเบื่อหน่ายการมีเพศสัมพันธ์

ทั้งนี้ อาการข้างเคียงหลายอาการไม่จำเป็นต้องใช้ยารักษาแต่อย่างใด แต่ถ้าพบอาการข้าง เคียงที่ก่อให้เกิดความรำคาญและรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน ควรรีบกลับไปขอคำปรึกษาจากแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อแพทย์พิจารณาปรับการใช้ยา

ดรอสไพรีโนนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

  • การใช้ยาดรอสไพรีโนน ร่วมกับยา Acitretin (ยารักษาโรคสะเก็ดเงิน) จะทำให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดด้อยลงไป หากไม่มีความจำเป็นใดๆควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
  • การใช้ยาดรอสไพรีโนน ร่วมกับยาต้านไวรัส Atazanivir, Boceprevir จะทำให้ปริมาณของยา ดรอสไพรีโนนในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • การใช้ดรอสไพรีโนน ร่วมกับยา Carbamazepine, Phenobarbital จะทำให้ปริมาณของยา ดรอสไพรีโนนในกระแสเลือดลดน้อยลง หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดรับประทาน ให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป



แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– คลังข้อมูลยา
– haamor.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี