โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction)

โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ คือ การที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้อย่างเพียงพอ ที่จะมีเพศสัมพันธ์ หรือบางคนอาจจะแข็งตัวได้ไม่นานพอ ทำให้มีปัญหาทางกายและจิตใจตามมา เช่น ความมั่นใจในตัวเองลดลง มีปัญหาเรื่องชีวิตคู่ หรือ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเวลาที่จะมีกิจกรรมทางเพศ

การแข็งตัวขององคชาตมีด้วยกัน 3 กลไก ได้แก่

  1. การแข็งตัวเวลานอนหลับ (Nocturnal Erection) เวลานอนหลับองคชาตจะมีการแข็งตัวคืนละประมาณ 4 – 6 ครั้ง ครั้งละ 15 – 30 นาที
  2. การแข็งตัวจากจิตใจ (Psychogenic Erection) เมื่อมีความต้องการทางเพศจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่มากระตุ้น คำสั่งจะส่งจากสมองมายังแกนสมองส่วนที่เรียกว่า พาราเวนทริคูลาร์นิวเคลียสที่อยู่บริเวณไฮโปทาลามัส จากนั้นคำสั่งจะผ่านไขสันหลังลงมายังศูนย์กลางการแข็งตัวขององคชาตบริเวณไขสันหลังระดับกระดูกก้นกบและผ่านเส้นประสาทคาร์เวอนัส (Cavernous Nerve) ที่มากระตุ้นให้เส้นเลือดในองคชาตมีการขยายตัว เลือดเข้ามาเลี้ยงมากขึ้น ทำให้องคชาตแข็งตัว
  3. การแข็งตัวจากรีเฟล็กซ์ (Reflexogenic Erection) เมื่อมีการกระตุ้นหรือสัมผัสบริเวณองคชาตก็จะมีสัญญาณผ่านจากเส้นประสาทที่องคชาต (Dorsal Nerve) ไปยังศูนย์กลางการแข็งตัวที่ไขสันหลังระดับกระดูกก้นกบและส่งสัญญาณกลับมายังองคชาต (Cavernous Nerve)

ลักษณะอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

  1. แบบปฐมภูมิ คือการที่องคชาตไม่เคยแข็งตัวเต็มที่ หรือไม่แข็งพอที่จะทำให้ร่วมเพศสำเร็จเลย
  2. แบบทุติยภูมิ คือการที่องคชาตเคยแข็งตัวและร่วมเพศได้มาก่อน แต่ต่อมาเกิดความผิดปกติขึ้น ทำให้ไม่สามารถแข็งตัวเหมือนเดิม
  3. แบบชั่วคราว คือการที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ในกรณีนี้ หากพบปัญหาและรีบรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถหายเป็นปกติได้

ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศจะสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ

  • อาการน้อย คือ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเกือบทุกครั้ง
  • อาการปานกลาง คือ สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จประมาณครึ่งหนึ่ง
  • อาการรุนแรง คือ แทบจะไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้สำเร็จเลย

สาเหตุที่ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความผิดปกติที่กลไกใด ๆ ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ อันได้แก่

  1. ความล้มเหลวในการเริ่มต้น (Failure to Initiate) อันมีสาเหตุจากปัญหาทางจิตใจ เนื้อเยื่อประสาท และฮอร์โมน
  2. ความล้มเหลวในการแข็งตัว (Failure to Fill) เกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดแดง
  3. ความล้มเหลวในการคงการแข็งตัวไว้ (Failure to Store) จากความผิดปกติของเส้นเลือดดำ ทำให้เกิด Venous Leakage

กลุ่มเสี่ยงโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
อุบัติการณ์ในการเกิดโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศพบมากขึ้นตามอายุ โดยพบว่าผู้ที่มีอายุ 40-49 , 50-59, 60-70 ปี จะพบโรคนี้ได้ร้อยละ 20.4, 46.3, 73.4 ตามลำดับ ซึ่งภาวะเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น

  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคซึมเศร้า
  • ดื่มสุรา สูบบุหรี่
  • ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ
  • เคยผ่าตัดบริเวณอุ้งเชิงกราน ผ่าตัดหลัง ผ่าตัดต่อมลูกหมาก ผ่าตัดท่อปัสสาวะ
  • มีอุบัติเหตุที่กระดูกสันหลัง อุ้งเชิงกราน และที่อวัยวะเพศ
  • ทานยาบางชนิด เช่น ยาโรคความดันโลหิตสูงบางตัว ยาโรคจิตเภท ยาโรคซึมเศร้า ยาต่อมลูกหมากบางตัว เป็นต้น

ผู้ชายจะเสื่อมสมรรถภาพเมื่ออายุเท่าไหร่

  • ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี – พบประมาณ 5 %
  • ผู้ชายอายุมากกว่า 40 ปี – พบประมาณ 50 %

ทำอย่างไร ให้สมรรถภาพทางเพศไม่เสื่อมเร็ว

  • หลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะเหล้า บุหรี่ และอาหารไขมันสูง
  • ควบคุมโรคที่เป็นอยู่แต่เนิ่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • บำรุงร่างกาย และจิตใจให้ผ่องใส แข็งแรง ลดความเครียด หาวิธีกำจัดความเครียดที่ได้ผลกับตนเอง เช่น ร้องเพลง เต้นรำ อ่านหนังสือ ท่องเที่ยว เข้าสปา นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย ฯลฯ
  • ออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบหมู่ เน้นผัก ผลไม้ และธัญพืช พักผ่อนให้เพียงพอ มีเวลาดูแลตนเอง ได้ทำงานอดิเรกที่ชอบ ทำชีวิตให้มีคุณค่า
  • เปลี่ยนบรรยากาศในการมีเพศสัมพันธุ์บ้าง เช่น เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนท่าที่จำเจ
  • มีสัมพันธภาพที่ดีกับคู่ครองหรือคนรัก เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักรับฟัง พูดคุย ปรึกษาหารือกันเป็นประจำ ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน
  • พบแพทย์ หากไม่สามารถแก้ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วยตนเอง เพื่อตรวจหาสาเหตุและข้อแก้ไขต่อไป

เสื่อมสมรรถภาพทางเพศรักษาได้ อย่างไร?
เริ่มจากการตรวจร่างกายในห้องปฏิบัติการ เช่น เบาหวาน ไขมัน การทำงานของตับ และไต และในรายที่ความต้องการทางเพศลดลง หรือได้รับการตรวจร่างกายแล้วพบว่าลูกอัณฑะมีขนาดเล็ก ต้องได้รับการตรวจฮอร์โมนเพศชายร่วมด้วย การรักษาจะเริ่มจากวิธีรักษาง่ายๆ เช่น ยารับประทาน รวมไปถึงใช้อุปกรณ์เข้าช่วย อย่างการใช้ปั๊มสูญญากาศ ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วผลการรักษายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็จะใช้ยาฉีด หรือการผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียม หรือใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน โดยแพทย์จะให้การอธิบายวิธีรักษาแต่ละชนิด พร้อมข้อดี ข้อเสียแก่ผู้ป่วยทราบ


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลกรุงเทพ
– โรงพยาบาลเปาโล
– โรงพยาบาลสมิติเวช
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี