เริม… โรคติดเชื้อที่รักษาได้ แต่ไม่หายขาด

เริม (Herpes simplex) คือ โรคติดต่อทางผิวหนังหรือทางเพศสัมพันธ์ผ่านการสัมผัสกับเชื้อไวรัส HSV-1 หรือ HSV-2 ที่ทำให้เกิดเริมที่ปาก หรือเริมที่อวัยวะเพศ สาเหตุของอาการคันยุบยิบ ตุ่มน้ำใส แผลพุพอง ปวดแสบปวดร้อน และมีไข้ ในขณะที่บางรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ เริมเป็นโรคติดเชื้อที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด ผู้ที่เคยเป็นเริมแล้วสามารถกลับมาเป็นโรคซ้ำเมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายลดต่ำ สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ เมื่อได้รับเชื้อโรคเริมในครั้งแรก เชื้อไวรัสจะเข้ามาสะสมในปมเส้นประสาท โดยที่ยังไม่แสดงอาการ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีปัจจัยเข้ามากระตุ้นเชื้อจึงจะเริ่มเคลื่อนจากปมประสาทมายังปลายเส้นประสาท และเกิดโรคที่ผิวหนังหรือเยื่อบุ

เริมแบ่งได้เป็น 2 ชนิด

  1. Herpes simplex virus type I: HSV-1 ที่ทำให้เกิดแผลหรือตุ่มน้ำพองที่บริเวณปาก ใบหน้า โพรงจมูก หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของผิวหนังเหนือสะดือ เริมที่ปาก เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV-1 เช่น น้ำลาย ที่ทำให้เกิดตุ่มน้ำใส แผลพุพอง ผื่นบวมแดง และบาดแผลแสบร้อน
  2. Herpes simplex virus type II: HSV-2 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HSV-2 ที่ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง แผลพุพอง และอาการเจ็บปวดที่บริเวณอวัยวะเพศชาย หรือที่บริเวณอวัยวะเพศหญิง

HSV-1 และ HSV-2 เหมือนกันหรือไม่ ?

เชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิด สามารถทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้ทั้งคู่ แต่โดยส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 70-90 เปอร์เซ็นต์ ของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) เกิดในตำแหน่งที่สูงกว่าเอว พบมากบริเวณริมฝีปากและจมูก และร้อยละ 70-90 ของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เกิดในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเอว ซึ่งนั่นหมายถึงบริเวณอวัยวะเพศ

สาเหตุของการติดเชื้อไวรัส HSV-1

  • การจูบ การหอมแก้ม
  • การสัมผัสกับผิวหนังใกล้กับบริเวณปากของผู้ที่เป็นโรคเริม
  • การใช้ภาชนะ หรือสิ่งของร่วมกันกับผู้ติดเชื้อ เช่น แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ลิปสติก มีดโกน
  • การได้รับการทำรักด้วยปาก หรือออรัลเซ็กส์ (Oral sex) จากผู้ที่มีเชื้อไวรัสโรคเริม โดยเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะเพศได้

สาเหตุของการติดเชื้อไวรัส HSV-2

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยผ่านการสอดใส่ระหว่างอวัยวะเพศชาย-หญิง การมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังหรือทางทวารหนัก หรือการสัมผัสถูไถระหว่างอวัยวะเพศหญิง-หญิง
  • การทำออรัลเซ็กส์ หรือได้รับการทำออรัลเซ็กส์จากผู้ที่ติดเชื้อโรคเริม
  • การสัมผัสแบบแนบชิด เนื้อแนบเนื้อ แม้ปราศจากการหลั่ง
  • การสัมผัสกับแผลติดเชื้อ หรือตุ่มน้ำพอง รวมถึงคุณแม่ติดเชื้อที่ให้นมบุตร
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดบุตร โดยคุณแม่ที่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์
  • การติดเชื้อจากการใช้เซ็กส์ทอย (Sex toy) ร่วมกันกับผู้ที่ติดเชื้อ

อาการของโรคเริม

อาการของการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิดจะเริ่มจากพบตุ่มพองใสๆ เล็กๆ ที่บริเวณผิวหนัง จากนั้น ตุ่มใสจะเริ่มพองและปวดแสบปวดร้อน เมื่อผ่านไป 1- 2 วัน ตุ่มใสจะมีน้ำอยู่ข้างในและเริ่มแตกออก หากมีการติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลขนาดใหญ่รักษาหายยากขึ้น

อาการร่วมนอกจากการมีตุ่มใส คือ อาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาการก่อโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาการจึงคล้ายโรคหวัด แต่ไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลเหมือนหวัด แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นครั้งแรกจะรู้สึกอาการรุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะหายประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่เคยเป็นแล้วกลับมาเป็นใหม่ระยะเวลาการหายจะเร็วขึ้น เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันแล้ว

การรักษาโรคเริม

ส่วนของการรักษานั้น สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัสทั้งชนิดรับประทาน และชนิดทา แพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ยาต้านไวรัสเพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส HSV ร่วมกับยาระงับความเจ็บปวด ทั้งนี้การพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อรับยาต้านไวรัสตั้งแต่เมื่อเริ่มมีอาการคันที่ปาก หรือที่อวัยวะเพศจะช่วยลดการอักเสบจากการติดเชื้อ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และช่วยไม่ให้แผลลุกลามได้ ยาที่แพทย์ใช้รักษาโรคเริม ได้แก่

  • ยาต้านไวรัส HSV ได้แก่ ยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) ยาวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir)
  • ยาระงับความเจ็บปวดชนิดรับประทาน เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ยาไอบูโปรเฟน (Ibuprofen)
  • ยาต้านการอักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs)
  • ยาแก้ปวดชนิดที่ทาลงบนแผลเริมชนิดที่เป็นเนื้อครีม หรือขี้ผึ้ง เช่น ยาเบนโซเคน (Benzocaine) ยาไลซีน (L-lysine) ยาโดโคซานอล (Docosanal)

ลักษณะของโรคที่คล้ายกับโรคเริม

เนื่องจากอาการหลักของเริมคือเป็นตุ่มใสเล็ก พอง ซึ่งก็มีอาการคล้ายโรคอื่นๆ ทำให้หลายครั้งผู้ป่วยและคนทั่วไปอาจสับสนในอาการของโรค

  1. เริมกับร้อนใน : หลายๆคนอาจจะเข้าในผิดคิดว่าโรคเริมอาจมีอาการคล้ายกับแผลร้อนในได้ แต่โดยความจริงแล้วทั้งสองโรคมีความต่างกัน คือโรคเริมจะลักษณะอาการของโรคโดยมีตุ่มน้ำใสบริเวณที่ริมฝีปาก หรือรู้สึกคันยิบๆ ที่ริมฝีปาก ส่วนร้อนใน มักมีลักษณะเป็นแผลขนาดเล็กและตื้นที่เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากหรือเหงือก มักไม่เป็นตุ่มน้ำหรือเป็นเม็ดและทำให้ รู้สึกเจ็บเวลารับประทานอาหารได้ด้วย
  2. เริมกับโรคงูสวัด : โรคงูสวัดเกิดจากการติดเชื้อ ลักษณะเด่นของโรคคือ จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อน ปวดคล้ายถูกไฟช็อต บริเวณที่เป็นของโรคงูสวัดคือผิวหนังตามเส้นประสาท ในขณะที่โรคเริมส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณปากหรืออวัยวะเพศ
  3. เริมกับอีสุกอีใส : โรคอีสุกอีใส กับโรคเริม มักมีอาการแรกเริ่มต้นคล้ายๆ กัน คือ เป็นตุ่ม มีไข้ อ่อนเพลีย ซึ่งตุ่มของโรคอีสุกอีใส จะเป็นผื่นราบสีแดง คัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำ ในขณะที่โรคเริมจะเป็นตุ่มใส ไม่คัน แต่จะเจ็บปวด และแสบบริเวณแผลแทน
  4. โรคเริมกับปากนกกระจอก : ปากนกกระจอก เกิดการติดเชื้อราที่ผิวหนัง เกิดภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นตรงมุมปาก เป็นแผล อาจมีรอยแดง บวม และตึงที่มุมปาก ในขณะที่เริมเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มีอาการบวมหรือรอยแดง มีเพียงตุ่มน้ำใสๆ ขนาดเล็กๆ ประมาณ 0.5 เซนติเมตร ขึ้นเป็นกลุ่มๆที่ริมฝีปาก ทำให้เกิดอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน

อย่างไรก็ตามหากสงสัย หรือกังวลกับอาการเกิดที่เกิดขึ้นว่าเป็นโรคใดกันแน่ แนะนำให้ พบแพทย์เพื่อปรึกษาอาการและวางแผนรักษาอย่างถูกต้อง



แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลศิครินทร์
– medparkhospital
– bangkoksafeclinic
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKESHOP.COM

แชร์

สินค้าที่เกี่ยวข้อง

No results found.

ยังไม่มีบัญชี