เซ็บเดิร์ม หรือโรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน (Seborrheic Dermatitis) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันภายในชั้นผิวหนัง ถือว่าเป็นโรคเรื้อรัง และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ซึ่งเซ็บเดิร์มเป็นโรคที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะลักษณะอาการที่เกิดขึ้นของโรค ทำให้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ป่วยโดยตรง
โรคเซ็บเดิร์มเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังที่พบมากในปัจจุบัน และเป็นโรคที่ต้องใช้ระยะเวลาและใช้ความพยายามในการรักษา โรคดังกล่าวสามารถลุกลามไปทั่วร่างกายได้ โดยบางครั้งอาจจะเกิดขึ้นบริเวณศีรษะและลุกลามไปยังหลังและหน้าอก อีกทั้งยังเป็นโรคเกี่ยวกับผิวหนังที่สร้างความรำคาญให้กับเจ้าของร่างกาย และเป็นโรคที่แม้หายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นอีกได้ การทำความรู้จักโรคเซ็บเดิร์มจึงเป็นปราการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เป็นตัวช่วยทำให้โรคหายหรือช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้
อาการของโรคเซ็บเดิร์ม
- ผิวหนังตกสะเก็ดเป็นรังแคบนหนังศีรษะ หรือบริเวณที่มีเส้นผม คิ้ว หรือหนวดเครา
- ผิวมันเป็นแผ่น ปกคลุมด้วยสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง หรือมีสะเก็ดแข็งบนหนังศีรษะ ใบหู ใบหน้า หน้าอก รักแร้ ถุงอัณฑะ หรือตามร่างกายส่วนอื่น ๆ
- มีอาการคัน แดง ผิวหนังลอกเป็นขุยสีขาวหรือสีเหลือง ผิวมัน
- เปลือกตาอักเสบ มีอาการแดงหรือมีสะเก็ดแข็งติด
- มีอาการปวดหรือคันร่วมด้วย
- อาจมีอาการผมร่วงเกิดขึ้น
- อาการอาจรุนแรงมากขึ้นหากมีความเครียดและมักจะเกิดรุนแรงในฤดูหนาวและฤดูร้อน
- ในทารกอายุน้อยกว่า 3 เดือนมักจะมีเกล็ดสีเหลืองหรือน้ำตาลบนศีรษะ แต่มักจะหายไปก่อนอายุครบ 1 ปี
โรคเซบเดิร์มมีสาเหตุและกลไกการเกิดอย่างไร
1.โรคเซบเดิร์มนั้น ไม่ใช่ทั้งโรคติดต่อ หรือโรคทางพันธุกรรม สาเหตุและกลไกของโรคยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจนนัก แต่จากการเก็บข้อมูลและทำการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลให้เกิดโรคมีหลายปัจจัยดังนี้
ผิวมัน พบว่าตำแหน่งที่เกิดโรคเซบเดิร์มนั้น อยู่ในตำแหน่งที่มีปริมาณและการทำงานของต่อมไขมันมาก เช่น ซอกจมูก คิ้ว หลังหู และลำตัวส่วนบน จากการศึกษาพบว่าผิวหนังของผู้ที่เป็นเซบเดิร์ม มีปริมาณของไขมันที่เคลือบที่ผิวหนังมากกว่าปกติ และไขมันนั้นยังประ กอบด้วยสัดส่วนชนิดของไขมันย่อยที่ต่างสัดส่วนจากสภาพผิวทั่วไป อีกเหตุผลที่สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างผิวมันกับโรคเซบเดิร์มคือ อุบัติการณ์ของโรค พบมากในทารกอายุก่อน 3 เดือนที่มีต่อมไขมันโตและทำงานมาก และเริ่มพบอีกครั้งในช่วงวัยรุ่นที่ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น จนอาการเพิ่มขึ้นมากที่สุดที่ช่วงอายุ 40-50 ปี
2.เชื้อราชื่อ Malassezia เป็นเชื้อราชนิดที่ชอบไขมัน ซึ่งพบได้ปกติบนผิวหนังทั่วไปของเรา โดยจากการศึกษาพบว่า การใช้ยากำจัดเชื้อรา สามารถลดอาการของเซบเดิร์มลงได้ดี เชื้อราชนิดนี้จึงน่าจะมีความสัมพันธ์กับสาเหตุการเกิดเซบเดิร์ม โดยมีข้อนิษฐานว่าเชื้อรา Malasse zia นี้ ผลิตเอนไซม์ออกมาย่อยไขมันบนผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดกลไกการอักเสบขึ้น
3.สาเหตุ/ปัจจัยอื่นๆ ที่พบว่า อาจเพิ่มโอกาส/กระตุ้นการการเกิดเซบเดิร์ม แต่ยังไม่ทราบกลไกแน่ชัด เช่น
- การบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การเกา โดยเฉพาะจนถลอก การขัดถูผิวหนัง โดยเฉพาะที่รุนแรง
- การเปลี่ยนแปลงความชื้นในอากาศ การเปลี่ยนฤดู โดยพบว่าโรคเซบเดิร์ม มักมีอาการแย่ลงในฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น และมีความชื้นในอากาศต่ำ
- ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการของโรครุนแรงขึ้น
- พบอัตราการเกิดเซบเดิร์มเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพากินสัน หรือผู้ป่วยมีประวัติอุบัติเหตุที่สมอง และมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น โรคเอดส์

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคเซ็บเดิร์ม
- เด็กทารกแรกเกิด – 2 เดือน ส่วนมากจะเกิดผื่นที่บริเวณใบหน้า หรือศีรษะ และผู้ปกครองหลายท่านมักจะคิดว่าเป็นผื่นจากผ้าอ้อม
- ช่วงวัยรุ่น อาจจะมีผื่นที่เกิดจากการสร้างต่อมไขมันขึ้นมา มักจะปรากฎบริเวณลำตัว และใบหน้า
- ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 30 – 60 ปี ซึ่งจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน
การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม
โรคเซ็บเดิร์มเป็นโรคที่เกิดขึ้นและอาจหายเองได้ แต่ในบางคนก็มีอาการต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากเป็นโรคเซ็บเดิร์ม และตัวโรคยังไม่ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิต สามารถดูแลได้ด้วยตนเอง โดยมีวิธีดังต่อไปนี้
- ดูแลผิวพรรณ ผิวหนังของตนเองด้วยแชมพูขจัดรังแค โลชั่น โดยแชมพูมีส่วนประกอบเป็น กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) เซเลเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) ซิงก์ ไพริไธออน (Zinc Pyrithione) โคล ทาร์ (Coal tar) โดยหากแชมพูมีประสิทธิภาพลดลง ให้เปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นสลับกันไป ส่วนผิวบริเวณอื่น สามารถบรรเทาด้วยการหาซื้อผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อราหรือโลชั่นคอร์ติโคสเตียรอยด์
- รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นอยู่เสมอ โดยการล้างด้วยสบู่และน้ำเปล่า
- ล้างทำความสะอาดร่างกายและหนังศีรษะเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำให้เป็นมากขึ้น
- โกนหนวดเคราให้หมด เนื่องจากหนวดและเคราจะยิ่งทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นเซ็บเดิร์มแย่ลงได้
- สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อเรียบลื่น เพื่อป้องกันการระคายเคือง
- ออกไปรับแสงแดดภายนอก แสงแดดจะช่วยหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ แต่ควรทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรังสียูวีด้วย
- เลี่ยงการขีดข่วนหรือเกาที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองและติดเชื้อตามมาได้ หากคันให้ใช้ครีมไฮโดรคอร์ติโซนหรือคาลาไมน์ช่วยระงับอาการชั่วคราว
- ทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาเบา ๆ หากเปลือกตามีลักษณะแดงหรือมีสะเก็ด โดยล้างด้วยแชมพูเด็กแล้วเช็ดสะเก็ดออกด้วยแผ่นสำลี
- ขจัดความเครียดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดการระคายเคืองบริเวณผิวที่เป็นเซ็บเดิร์มสระผมเบา ๆ ห้ามเกา ซับเช็ดหน้าเบา ๆ การทายา ให้แตะเบา ๆ แทน
- สำหรับทารกที่มีไขหรือสะเก็ดบนหนังศีรษะ พ่อแม่อาจสระผมให้ทุกวันด้วยแชมพูที่อ่อนโยนสำหรับเด็กและน้ำอุ่น หากไม่ได้ผลควรปรึกษากุมารแพทย์เกี่ยวกับแชมพูที่ใช้รักษา ไม่ควรหามาทดลองใช้เอง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อศีรษะของทารกได้ ส่วนแผ่นสะเก็ดรังแคนั้นสามารถทำให้นุ่มลงด้วยการใช้น้ำมันมะกอกถูแล้วหวีด้วยแปรงเพื่อให้สะเก็ดรังแคหลุดลอกออกมา
- หากโรคเซ็บเดิร์มทำให้การดำเนินชีวิตลำบากและเกิดความวิตกกังวล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษา

การป้องกันโรคเซ็บเดิร์ม
โรคเซ็บเดิร์มเป็นโรคที่ไม่สามารถหาวิธีป้องกันได้ ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากพันธุกรรมหรือสาเหตุอื่นๆ แต่สามารถลดความรุนแรงของอาการและช่วยป้องกันไม่ให้โรคเกิดขึ้นซ้ำ โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาหนังศีรษะด้วยแชมพูต้านเชื้อ ดูแลรักษาผิวหนังของร่างกายให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่าเป็นประจำทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดคราบมันบนผิวหนังที่เป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดเซ็บเดิร์ม และช่วยลดจำนวนของเชื้อราบนผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงโลชั่นที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่แพทย์แนะนำ
- ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ ขจัดความเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสถานการณ์เสี่ยงจากโรคต่างๆ เช่น โรคเอชไอวี โรคอ้วน เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
แม้อาการของโรคเซ็บเดิร์ม จะไม่มีความรุนแรงมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญใจและวิตกกังวลให้กับผู้ที่เป็นได้ ซ้ำยังเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ไม่มีสัญญาณเตือนว่าโรคจะกลับมาเป็นอีกเมื่อใด ดังนั้น การรู้ว่าพื้นฐานของโรคเซ็บเดิร์มเป็นอย่างไรจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลสมิติเวช
– โรงพยาบาลเพชรเวช
– web haamor
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM