เกล็ดเลือดสูง เป็นภาวะที่เกิดจากไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นชั่วคราวเพื่อช่วยให้เลือดแข็งตัว หรืออาจเกิดจากไขกระดูกทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้มีอาการปวดศีรษะ หน้ามืด เป็นลม หรืออาจทำให้มีเลือดออกตามเหงือก หรือเลือดกำเดาไหลได้ ระดับเกล็ดเลือดสูงอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่รุนแรง ดังนั้น จึงควรรับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด และทำการรักษาให้เหมาะสม
เกล็ดเลือดสูง คืออะไร
เกล็ดเลือดสูง คือ ภาวะที่ไขกระดูกสร้างเกล็ดเลือด เพิ่มขึ้นมากเกินไป ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เรียกว่า โรคเกล็ดเลือดสูง (Essential thrombocythemia : ET) แต่ถ้าเกล็ดเลือดสูงที่เกิดขึ้นจากโรคหรือภาวะอื่น เช่น การติดเชื้อ จะเรียกว่า ภาวะเกล็ดเลือดสูง (Thrombocytosis)
เกล็ดเลือดสูง พบบ่อยแค่ไหน
โรคเกล็ดเลือดสูงสามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งส่วนใหญ่พบในผู้หญิงที่มีอายุ 50-70 ปี แต่ภาวะเกล็ดเลือดสูงอาจพบได้บ่อยกว่าโรคเกล็ดเลือดสูง เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่มีเกล็ดเลือดมากกว่า 500,000 เกล็ด/ไมโครลิตร จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มภาวะเกล็ดเลือดสูง
อาการเกล็ดเลือดสูง
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกล็ดเลือดสูง หรือภาวะเกล็ดเลือดสูง อาจไม่แสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่มักจะเริ่มด้วยการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของลิ่มเลือด ดังนี้
- ปวดศีรษะ
- วิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืด เป็นลม
- เจ็บหน้าอก
- เหนื่อยล้า อ่อนแรง
- มีอาการชาบริเวณมือและข้อเท้า
- ตัวสั่น ผิวแดง ปวดแสบปวดร้อนที่มือและเท้า
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกล็ดเลือดสูง หากมีจำนวนเกล็ดเลือดมากกว่า 1,000,000 เกล็ด/ไมโครลิตร อาจทำให้มีเลือดออกในรูปแบบ ผิวฟกช้ำ เลือดกำเดาไหลเลือดออกตามเหงือก หรืออุจจาระเป็นเลือด
สาเหตุของเกล็ดเลือดสูง
ภาวะเกล็ดเลือดสูง อาจเกิดจากการติดเชื้อ การขาดธาตุเหล็ก หรือหลอดเลือดถูกทำลาย ทำให้ร่างกายเกิดบาดแผล ไขกระดูกที่มีหน้าที่สร้างเกล็ดเลือด จึงต้องสร้างเกล็ดเลือดขึ้นมาเพื่อช่วยให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อนและแข็งตัวเพื่อห้ามเลือด ซึ่งในบางครั้งไขกระดูกอาจสร้างเกล็ดเลือดมากเกินไปจนทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดสูง
โรคเกล็ดเลือดสูง เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากไขกระดูกผิดปกติ ทำให้สร้างเกล็ดเลือดมากเกินไป ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดแต่ประมาณ 90% ของผู้ที่เป็นโรคนี้อาจมียีนที่กลายพันธุ์ทำให้เกิดโรคเกล็ดเลือดสูง
ปัจจัยเสี่ยงเกล็ดเลือดสูง
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคเกล็ดเลือดสูง และภาวะเกล็ดเลือดสูง มีดังนี้
- ส่วนใหญ่พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
- ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่ที่มาอายุ 50-70 ปี
- ผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดม้ามออกจากร่างกาย อาจเกิดภาวะเกล็ดเลือดสูงได้
- ผู้ที่ฟื้นตัวจากการสูญเสียเลือดจำนวนมาก
- ผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 หรือโฟเลต (Folate)
- โรคอักเสบหรือโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรค ลำไส้อักเสบ
- โรคโลหิตจาง
- ปฏิกิริยาจากการใช้ยาบางชนิด
การวินิจฉัยเกล็ดเลือดสูง
การวินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดสูง และโรคเกล็ดเลือดสูง สามารถทำได้ ดังนี้
- สอบถามประวัติทางการแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเกล็ดเลือดสูง เช่น สอบถามนิสัยการกิน รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถามประวัติครอบครัวว่ามีใครเกล็ดเลือดสูงหรือไม่ การติดเชื้อและการรับวัคซีน การถ่ายเลือดหรือบริจาคเลือด
- ตรวจร่างกาย เพื่อหาสัญญาณของลิ่มเลือด อาการเลือดออก การติดเชื้อ และอาการเกล็ดเลือดสูง
- ทำการทดสอบเพื่อช่วยในการวินิจฉัย
- การนับเม็ดเลือด เพื่อวัดจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด โดยการเจาะเลือดที่แขนเพื่อนำเลือดมาตรวจสอบ
- ฟิล์มเลือด (Blood Smear) คือการหยดเลือดบนสไลด์แก้ว จากนั้นใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจสอบเกล็ดเลือด
- เจาะไขกระดูก เพื่อตรวจสอบความแข็งแรงของไขกระดูก รวมถึงการสร้างเซลล์เม็ดเลือดและเกล็ดเลือด โดยการนำตัวอย่างของเหลวในไขกระดูกออกมา จากนั้นส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจสอบเซลล์ที่ผิดปกติ
การรักษาเกล็ดเลือดสูง
ภาวะเกล็ดเลือดสูง
ภาวะเกล็ดเลือดสูงเป็นอาการที่เกิดขึ้นชั่วคราว จึงอาจไม่ต้องทำการรักษาเพื่อลดจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ ภาวะเกล็ดเลือดสูงยังที่โอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรง เช่น ลิ่มเลือดอาการเลือดออก
โรคเกล็ดเลือดสูง
การรักษาโรคเกล็ดเลือดสูงอาจไม่ต้องทำการรักษาหากอาการยังคงที่ แต่คุณหมออาจสั่งยาแอสไพรินเพื่อช่วยลดจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ คุณหมออาจสั่งยาชนิดอื่นเพื่อช่วยในการรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันเบื้องต้น ดังนี้
- ยาลดเกล็ดเลือด
คุณหมออาจสั่งยาชนิดนี้หากผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 60 ปี มีประวัติลิ่มเลือดหรือมีเลือดออก มีปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ เช่น คอเลสเตอรอลในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และมีเกล็ดเลือดเกิน 1,000,000 เกล็ด/ไมโครลิตร และยาที่เกี่ยวข้อง เช่น ไฮดรอกซียูเรีย (Hydroxyurea) อนาเกรไลด์ (Anagrelide) อินเตอร์เฟอรอน (Interferon) - การลดจำนวนเกล็ดเลือด (Plateletpheresis)
เป็นขั้นตอนลดจำนวนเกล็ดเลือดที่ใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้น โดยคุณหมอจะใช้เข็มเจาะเข้าเส้นเลือดดำเพื่อดึงเลือดออกมาและเอาเกล็ดเลือดออก จากนั้นเลือดที่เหลือจะถูกส่งกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อช่วยจัดการเกล็ดเลือดสูง
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดสูง และโรคเกล็ดเลือดสูง ดังนี้
- เข้าพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาตามนัดหมายอย่างต่อเนื่อง
- งดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงเกิดลิ่มเลือด
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงหรือการรับประทานอาการที่ทำให้ คอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง
- สังเกตอาการของลิ่มเลือดอุดตันและอาการเลือดออก หากมีอาการควรรีบพบคุณหมอทันที
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้
- ควบคุมการใช้ยาอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของคุณหมอ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– hellokhunmor.com
– เว็บพบแพทย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM