กลิ่นไม่พึงประสงค์จากช่องคลอด เช่น กลิ่นคล้ายน้ำปลา ปลาเค็ม หรือกลิ่นคาว ร่วมกับการมีตกขาว เป็นปัญหาที่หลายคนอาจเคยเผชิญ บทความนี้จะช่วยอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่น รวมถึงวิธีดูแลและแก้ไขอย่างเหมาะสมตามหลักสุขภาพ โดยปกติ ช่องคลอดของผู้หญิงจะมีสภาพเป็นกรดและอาจมีกลิ่นอ่อน ๆ คล้ายเค็มหรือเปรี้ยวเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและอาจมีตกขาวร่วมด้วย แต่หากกลิ่นและอาการเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ต้องให้ความสนใจ
สาเหตุที่ทำให้ช่องคลอดมีกลิ่น
1.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน มีบทบาทสำคัญต่อความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด หากเกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นไปตามช่วงวัย หรือช่วงรอบเดือน รวมไปถึงการตั้งครรภ์ และวัยหมดประจำเดือน ล้วนส่งผลต่อสมดุลแบคทีเรียในช่องคลอดและทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้
2.สุขอนามัยที่ไม่ดี
มีสิ่งสกปรกตกค้างบริเวณช่องคลอด แล้วไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาดกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไป เช่น ไม่รักษาความสะอาด ไม่อาบน้ำทำความสะอาดอวัยวะเพศ ทำให้หมักหมมสิ่งสกปรกจนเกิดการอักเสบ หรือลืมเปลี่ยนผ้าอนามัยเป็นเวลานาน ๆ เพิ่มการสะสมของเชื้อโรคเกิดการอักเสบได้เช่นกัน
3.ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis: BV)
โดยทั่วไปภายในช่องคลอดของผู้หญิงจะมีเชื้อแบคทีเรียที่ช่วยสร้างสารบางอย่างที่ลดการเติบโตของแบคทีเรียไม่ดีที่อาศัยอยู่ แต่การอักเสบจากแบคทีเรียวาจิโนสิสเป็นผลมาจากความไม่สมดุลของปริมาณแบคทีเรียในช่องคลอด หรือมีการเติบโตของแบคทีเรียภายในช่องคลอดมากเกินไป ซึ่งภายในช่องคลอดของผู้หญิงจะมีสิ่งที่เรียกว่าแบคทีเรียประจำถิ่น (Normal flora) อาศัยอยู่ ซึ่งก็คือ “แบคทีเรียกลุ่มแลคโตบาซิลัส” ประจำช่องคลอด เป็นแบคทีเรียที่ดี ทำให้ช่องคลอดอยู่ในสภาวะสมดุล เป็นกรดอ่อน ๆ และไม่มีกลิ่น ถ้ามีอะไรก็ตามสร้างอันตรายต่อแบคทีเรียกลุ่มนี้ และทำให้ปริมาณแลคโตบาซิลัสลดลง แบคทีเรียชนิดอื่น ๆ ที่เป็นแบคทีเรียไม่ดีก็จะขึ้นมาแทนที่ ส่วนใหญ่มักเป็น “แบคทีเรียที่หายใจแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria)” ทำให้เกิดความผิดปกติในช่องคลอด เช่น ตกขาวมามากเกินไป มีกลิ่นเหม็นเหมือนปลาเค็ม กลิ่นคาวปลา

4.มีภาวะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ช่องคลอดมีกลิ่นอาจเกิดจากการติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เช่น
- หูดที่อวัยวะเพศจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papilloma Virus: HPV)
- การป่วยโรคทริโคโนสิส (Trichinosis) จากปรสิตทริคิเนลล่า สไปราลิส (Trichinella Spiralis)
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease: PID)
- การอักเสบที่เกิดจากเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal Thrush)
- โรคบางชนิด เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม
- สาเหตุอื่น ๆ: มักพบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ความผิดปกติของลำไส้ที่ทวารหนักทะลุเข้าสู่ช่องคลอด (Rectovaginal Fistula) มะเร็งปากมดลูก มะเร็งในช่องคลอด
5.รับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรงหรือรสจัด
ปัญหาช่องคลอดมีกลิ่นในหลายครั้งมีสาเหตุมาจากอาหารบางชนิด เช่น กระเทียม หัวหอม สะตอ หน่อไม้ฝรั่ง ปลาร้า ของหมักดอง หรือเครื่องเทศบางอย่าง เนื่องจากมีสารที่ร่างกายขับออกมาทางเหงื่อและปัสสาวะ ส่งผลให้ช่องคลอดมีกลิ่นได้
สาเหตุอื่นๆ
1.การใช้ยารักษาโรคบางประเภท เช่น ยาปฎิชีวนะบางตัว
2.การลืมเปลี่ยนผ้าอนามัย
3.การสวนล้างช่องคลอด
วิธีแก้ช่องคลอดมีกลิ่นด้วยวิธีธรรมชาติ
1.สวมใส่กางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย ใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่น เพื่อไม่ให้ช่องคลอดอับชื้นและช่วยให้อากาศถ่ายเท
2.อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังออกกำลังกาย
3.ควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
4.รักษาสุขอนามัยให้ดี เช่น ล้างช่องคลอดด้วยน้ำอุ่น และใช้สบู่อ่อน ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
5.หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด
6.หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่อาจเพิ่มกลิ่นช่องคลอด เช่น หัวหอม เครื่องเทศต่าง ๆ หรือของหมักดอง
7.หลังจากปัสสาวะ ให้ทำความสะอาดด้วยการเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลัง หรือเช็ดเป็นวงกลม เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียแพร่กระจายจากทวารหนักสู่ช่องคลอด
8.กินโยเกิร์ต อาหารจำพวกโพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรืออาหารเสริมที่มีโพรไบโอติกส์เป็นส่วนประกอบ
9.หลีกเลี่ยงการใช้สเปรย์หรือครีมภายในช่องคลอด เพราะอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้
การรักษาด้วยยาจากร้านขายยา
หากช่องคลอดมีกลิ่น หรือพบร่วมกับอาการตกขาวที่ผิดปกติ ในเบื้องต้นสามารถใช้ยาปฏิชีวนะรักษาได้ด้วยตนเอง คือ
- ยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ในรูปแบบยารับประทาน เป็นยาเม็ดขนาด 500 มิลลิกรัม รับประทาน 2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 7 วัน
- ยาคลินดามัยซิน (Clindamycin) ยาในรูปแบบครีมให้ใส่ภายในช่องคลอดก่อนนอนติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน หรือยาแบบรับประทาน เป็นยาเม็ดขนาด 300 มิลลิกรัม รับประทาน 2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 7 วัน
การใช้ยาปฏิชีวนะควรอยู่ภายใต้คำแนะนำจากเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือในขณะที่กำลังตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตาม หากกำลังเผชิญกับอาการช่องคลอดที่ส่งกลิ่นรุนแรงหรือเหม็นคาวมากผิดปกติ หรือมีอาการร่วมอื่น เช่น ปวดแสบ คัน ระคายเคืองบริเวณช่องคลอด มีตกขาวมากผิดปกติ หรือมีตกขาวที่ผิดปกติ ทั้งสีและกลิ่น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาบสินแพทย์รามอินทรา
– web pobpad
– web hdmall
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM