Levonorgestrel (ลีโวนอร์เจสเตรล) คือ ยาคุมกำเนิดที่เป็นฮอร์โมนโปรเจสตินสังเคราะห์ มีกลไกการออกฤทธิ์โดยช่วยป้องกันการตกไข่ในช่วงรอบเดือน รวมทั้งทำให้ของเหลวในช่องคลอดเหนียวตัวขึ้น และช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกเปลี่ยนแปลงจนอสุจิผ่านเข้าไปปฏิสนธิยากขึ้น นำมาใช้ในการคุมกำเนิดฉุกเฉิน กรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ใช้เครื่องมือสำหรับคุมกำเนิดไม่ถูกวิธี หรือการคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น ถุงยางแตก ถุงยางรั่ว เป็นต้น รวมไปถึงกรณีถูกคุกคามทางเพศจนเสี่ยงเกิดการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ยานี้ยังใช้รักษาภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติ ใช้เป็นฮอร์โมนทดแทนในสตรีวัยหมดประจำเดือน และอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์
การออกฤทธิ์
ตัวยาจะช่วยยับยั้งความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ กลไกการออกฤทธิ์ของยาคือ ยืดระยะเวลาของการตกไข่ให้ช้ากว่ากำหนด ทำให้การตกไข่เกิดขึ้นช้าลง ส่งผลให้สเปิร์มไม่สามารถเกิดการปฏิสนธิกับไข่ได้
ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้
การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ผู้ใหญ่
รับประทานยาปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม ในทันทีหรือภายใน 72-120 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ หรือรับประทานยาปริมาณ 750 ไมโครกรัม ในทันทีหรือภายใน 72-120 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานยาครั้งที่ 2 หลังผ่านไป 12 ชั่วโมง อีกทางเลือกหนึ่ง คือ รับประทานยา Levonorgestrel ปริมาณ 500 ไมโครกรัม และยา Ethinylestradiol ปริมาณ 100 ไมโครกรัม โดยอาจรับประทานยาภายใน 72 ชั่วโมง หลังจากมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานยาอีกครั้งหลังผ่านไป 12 ชั่วโมง
ข้อควรระวัง / ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
- ถึงแม้จะใช้ยาอย่างถูกต้อง ก็อาจตั้งครรภ์ได้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Levonorgestrel
การใช้ยา Levonorgestrel อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่ ปวดศีรษะ อาเจียน ท้องไส้ปั่นป่วน เจ็บเต้านม เวียนศีรษะ รอบเดือนเปลี่ยนแปลง ปวดท้อง รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย เป็นต้น หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์
หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Levonorgestrel ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที
- อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม ผิวหนังบวม มีผื่นคัน แดง มีเม็ดพุพอง ผิวลอกพร้อมกับมีไข้หรือไม่มีไข้ แน่นหน้าอกหรือลำคอ หายใจลำบาก มีปัญหาในการหายใจหรือการพูด เสียงแหบ เป็นต้น
- ปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลังใช้ยาไปแล้วเป็นเวลา 3-5 สัปดาห์
- ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- มีอาการของโรคหลอดเลือดสมอง
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน
วิธีเก็บรักษา
- เก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– hdmall
– เว็บพบแพทย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM