อย่ามองข้าม…สังเกตุภาวะขาดสารอาหารในผู้สูงวัย

ภาวะขาดสารอาหารเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ผลสำรวจในประเทศที่พัฒนาแล้วพบภาวะขาดโปรตีนและพลังงานในผู้สูงอายุสูงถึงร้อยละ 15 นอกจากนี้ภาวะขาดสารอาหารส่งผลให้ผู้สูงอายุหกล้มได้ง่าย เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อลดลง มีโรคกระดูกพรุน ทำให้กระดูกหักหลังจากการหกล้ม ภูมิคุ้มกันบกพร่องนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่าย แผลหายช้า ต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น คุณภาพชีวิตลดลง อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น

ปัจจัยเสี่ยงขาดสารอาหาร

การได้รับสารอาหารอย่างไม่ถูกต้อง เช่น รับประทานอาหารซ้ำ ๆ ไม่หลากหลาย มีปัญหาการบดเคี้ยว ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ผู้ที่สูญเสียความสามารถในการประกอบอาหาร หรือผู้ที่ขาดองค์ความรู้ในการบริโภคอาหารที่หลากหลาย

การได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะสมองเสื่อม ความสามารถในการแยกกลิ่นและรสอาหารลดลง การได้รับยาบางชนิด มีโรคเรื้อรัง ทำให้ไม่อยากทานอาหาร

การตรวจสอบว่าผู้สูงอายุอยู่ในภาวะขาดสารอาหารหรือไม่ สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยใช้วิธีการประเมินด้วยตนเองจากสัญญาณทางร่างกายและพฤติกรรม รวมถึงการสังเกตสุขภาพโดยรวมอย่างละเอียด โดยมีเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริงดังนี้:

1. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก

วิธีทำ: ชั่งน้ำหนักผู้สูงอายุเป็นประจำ (ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน) และบันทึกไว้

สัญญาณเตือน: น้ำหนักลดลงเกิน 5% ภายใน 1 เดือน หรือ 10% ภายใน 6 เดือน โดยไม่ได้ตั้งใจ

2. สังเกตมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง

วิธีทำ: ลองให้ผู้สูงอายุยกของเบา ๆ เช่น ขวดน้ำ หรือจับมือเพื่อวัดแรงบีบ

สัญญาณเตือน: กล้ามเนื้อแขนขาดูลีบเล็ก ผู้สูงอายุยกของหรือเดินได้ลำบากกว่าปกติ

3. ตรวจดูสภาพผิว ผม และเล็บ

วิธีทำ: สังเกตว่าผิวพรรณมีความยืดหยุ่นหรือไม่ มีแผลที่หายช้าหรือผมร่วงผิดปกติหรือเปล่า

สัญญาณเตือน: ผิวแห้งแตก ลอก หมองคล้ำ เล็บเปราะ หรือผมแห้งกรอบ

4. ประเมินความอยากอาหาร

วิธีทำ: สอบถามผู้สูงอายุว่าเบื่ออาหารหรือมีปัญหาในการเคี้ยวหรือกลืนหรือไม่

สัญญาณเตือน: การรับประทานอาหารลดลงหรือทานได้เพียงเล็กน้อยในแต่ละมื้อ

5. สังเกตพฤติกรรมและพลังงานในแต่ละวัน

วิธีทำ: สังเกตว่าผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมพื้นฐาน เช่น เดินในระยะ 400 เมตร (หรือประมาณ 5-7 นาที) โดยไม่หยุดพัก หรือนั่งลุกจากเก้าอี้ 5 ครั้งในเวลาไม่เกิน 15 วินาที หากทำได้โดยไม่เหนื่อยหรือไม่รู้สึกหมดแรง แสดงว่าระดับพลังงานยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

สัญญาณเตือน: หากผู้สูงอายุรู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่อลุกขึ้นเดิน 3-5 นาที หรือต้องนั่งพักบ่อย นั่งนิ่ง ๆ นานขึ้น และแสดงความไม่กระตือรือร้นในการทำกิจกรรม อาจเป็นสัญญาณของภาวะพลังงานลดลง หรือขาดสารอาหาร

6. ตรวจสอบการติดเชื้อหรือแผลหายช้า

วิธีทำ: สังเกตว่าผู้สูงอายุมีไข้หวัดหรือการติดเชื้อบ่อยครั้ง และดูว่าบาดแผลเล็ก ๆ เช่น แผลจากรอยขีดข่วนหรือรอยถลอก ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหายสนิท

ข้อมูลเพิ่มเติม:

  • แผลขนาดเล็กปกติ เช่น รอยขีดข่วน หรือแผลถลอกทั่วไป ในคนที่มีสุขภาพดี ควรใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ในการสมานแผลจนปิดสนิท
  • แผลขนาดกลาง หรือแผลจากการตัด เช่น การตัดเล็บที่ลึกเกินไป ควรหายภายใน 2-3 สัปดาห์ หากแผลหายช้ากว่าปกติ หรือมีอาการบวมแดง ร้อน อักเสบ หรือมีหนองร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของภาวะขาดโปรตีน วิตามินซี หรือสังกะสี
  • สัญญาณเตือน: หากแผลเล็ก ๆ ใช้เวลาเกิน 14 วัน หรือแผลขนาดกลางเกิน 3 สัปดาห์ ในการสมาน หรือผู้สูงอายุติดเชื้อบ่อย ควรพิจารณาเสริมสารอาหารที่จำเป็น เช่น วิตามินซี สังกะสี และโปรตีน เพื่อช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันและเร่งกระบวนการสมานแผล

ทำอย่างไร? เมื่อผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร

ภาวะขาดสารอาหารในผู้สูงอายุเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การลดประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยที่ช้าลง หรือแม้กระทั่งความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ อย่างไรก็ตาม ภาวะขาดสารอาหารสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลโภชนาการอย่างใกล้ชิด โดย Health at Home มีวิธีการแนะนำที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ดังนี้:

1. จัดมื้ออาหารที่ครบถ้วนและสมดุล

  • ควรมีสารอาหารหลักครบ 5 หมู่ในทุกมื้อ
  • เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง มันหวาน และธัญพืช
  • เลือกรับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่อาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อจากกระบวนการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ตามวัย (Aging) ซึ่งโปรตีนสามารถหาได้จาก อกไก่, ไข่, เนื้อปลา, เต้าหู้ และ ถั่วชนิดต่างๆ

ข้อแนะนำ: คำนวณปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมในแต่ละวันแก่ผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุ ไม่มีโรคประจำตัว

  • ควรได้รับโปรตีน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
  • ตัวอย่าง: หากน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีน 50 กรัมต่อวัน
  • ผู้ที่ต้องจำกัดโปรตีน (เช่น ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนฟอกไต)
  • ควรได้รับโปรตีน 0.6–0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
  • ตัวอย่าง: หากน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีน 30–40 กรัมต่อวัน

ผู้ที่ต้องการโปรตีนมากเป็นพิเศษ

  • ผู้ป่วยที่ฟอกไต แผลกดทับ ผู้ป่วยโรคตับ มะเร็ง ควรได้รับโปรตีน 1.2–2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
  • ตัวอย่าง: หากน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ควรได้รับโปรตีน 50 กรัมต่อวัน

ข้อแนะนำ: เสริมวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ

  • แคลเซียม: แคลเซียมเป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับการรักษากระดูกให้แข็งแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเรื่องการเสื่อมสภาพของกระดูก สามารถทานอาหารเสริมที่ีมีแคลเซียมได้จากถั่วเหลือง ธัญพืช ปลาตัวเล็ก ฯลฯ
  • วิตามิน D: ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการขาดวิตามิน D ซึ่งสำคัญต่อการดูดซึมแคลเซียมและสุขภาพกระดูก ควรเสริมวิตามิน D โดยการรับแสงแดดและการทานอาหารเสริมที่มีวิตามิน D เช่น ปลาแซลมอน, ไข่แดง, น้ำมันตับปลา
  • วิตามิน B12: การขาดวิตามิน B12 อาจทำให้เกิดปัญหาการดูดซึมสารอาหาร หรือปัญหาทางระบบประสาท เช่น ความจำเสื่อม แหล่งวิตามิน B12 ได้แก่ หมู ไก่ ปลา ไข่ และอาหารทะเลต่างๆ
  • วิตามิน A: สำคัญต่อสุขภาพสายตาและระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อการเสื่อมของจอประสาทตา แหล่งวิตามิน A ได้แก่ ฟักทอง, แครอท และผักใบเขียวเข้มต่างๆ เช่น คะน้า, ปวยเล้ง, บรอกโคลี

2. กระตุ้นความอยากอาหาร

  • สร้างบรรยากาศที่ดีในการรับประทานอาหาร เช่น การทานร่วมกับครอบครัว
  • เสริมรสชาติอาหารให้น่าทานมากขึ้น ด้วยการเพิ่มน้ำซุปเข้มข้นหรือผลไม้รสเปรี้ยวหวานเป็นครั้งคราว และปรุงอาหารให้มีกลิ่นและรสเด่นตามความชอบของผู้สูงอายุ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการรับรสหรือกลิ่นที่ลดลง อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังในการปรุงรส โดยหลีกเลี่ยงการปรุงรสจัดจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมเกินความจำเป็น และพึงระวังข้อห้ามสำหรับผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว เช่น งดเติมน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน หรือลดความเค็มในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • การรับประทานอาหารขนาดชิ้นเล็ก รับประทานง่าย ช่วยให้อยากทานมากขึ้น
  • การเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย แบ่งมื้ออาหารออกเป็น 4-5 มื้อเล็กๆ จะช่วยให้ทานได้ต่อเนื่องยิ่งขึ้น และช่วยให้การย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร มีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสามารถช่วยเพิ่มความอยากอาหารและส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสม เช่น การเดินเร็ว 20-30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ การยกน้ำหนักเบาหรือใช้แถบยางยืด 2-3 วันต่อสัปดาห์ และการยืดเหยียดหรือฝึกสมดุล เช่น โยคะหรือไทเก็ก ทุกวัน วันละ 5-10 นาที โดยเริ่มต้นด้วยการวอร์มอัพ 5-10 นาที และคูลดาวน์หลังออกกำลังกาย เพื่อลดการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย

ผู้สูงอายุควรปรับระดับความหนักเบาให้อยู่ในระดับปานกลางที่สามารถพูดคุยได้โดยไม่เหนื่อยจนเกินไป หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอกหรือเวียนศีรษะ ควรหยุดทันทีและปรึกษาแพทย์ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มพลังงาน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น พร้อมเสริมคุณภาพชีวิตในระยะยาว


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– โรงพยาบาลกรุงเทพ
– web healthathome

เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี