ยา Sulfonylurea (ซัลโฟนิลยูเรีย) – ข้อมูล ข้อบ่งใช้ ผลข้างเคียง

ยาซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylurea) เป็นกลุ่มยาที่นำมาใช้รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 (Diabetes mellitus type 2) ถูกค้นพบโดยคณะนักเคมีนำโดย Marcel Janbon ชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งกำลังศึกษาฤทธิ์ของยาซัลโฟนาไมด์ (Sulfonamide) ที่ใช้ในการต่อต้านแบคทีเรีย และค้น พบว่าซัลโฟนิลยูเรียซึ่งมีโครงสร้างแกนกลางของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับยาซัลโฟนาไมด์ สามารถออกฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้ จึงได้พัฒนาให้มาเป็นยารักษาเบา หวาน/ยาเบาหวานในคน

ข้อบ่งใช้

  • รักษาโรคเบาหวานประเภท 2 (Diabetes mellitus type 2)
  • ยาบางตัวจะถูกนำไปรักษาโรคเบาจืดด้วย เช่นยา Chlorpropamide

กลไกการออกฤทธิ์

กลไกการออกฤทธิ์ของยาซัลโฟนิลยูเรียคือ ตัวยาจะเข้าไปกระตุ้นกลไกการทำงานของ เบต้าเซลล์ในตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา ทำให้ร่างกายสามารถใช้น้ำตาลในเลือดได้อย่างมีสมดุลมากขึ้น และยังพบว่ายากลุ่มนี้ช่วยลดการสร้างน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ในตับ จากกลไกดังกล่าวจึงทำให้ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์รักษาเบาหวานตามสรรพคุณ

ยาซัลโฟนิลยูเรียมีรูปแบบ

  • ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 2.5 และ 5 มิลลิกรัม/เม็ด เช่น Glibencamide, Glipizide
  • ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 250 มิลลิกรัม/เม็ด เช่น Chlorpropamide,
  • ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 1, 2, 3 และ 4 มิลลิกรัม/เม็ด เช่นยา Glimepiride

ปริมาณการใช้ยา

ขนาดการใช้ยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรียจะขึ้นกับอาการและความรุนแรงโรคของผู้ป่วย จึงส่งผลให้ขนาดรับประทานมีความแตกต่างกันและเป็นเงื่อนไขของผู้ป่วยแต่ละราย แพทย์เท่านั้นที่สามารถสั่งจ่ายขนาดยาได้ถูกต้องปลอดภัยเหมาะสมกับคนไข้ ผู้ป่วยจึงต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ควรรับประทานยาพร้อมน้ำดื่มสะอาด ห้ามเคี้ยวหรือบดยาก่อนรับประทาน

ข้อควรระวังการใช้ซัลโฟนิลยูเรีย

  1. ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยากลุ่มนี้
  2. ห้ามใช้ยานี้กับหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคไต โรคตับ
  3. ห้ามรับประทานยาซัลโฟนิลยูเรียพร้อมยาเบาหวานตัวอื่น (ด้วยตนเอง) โดยมิได้รับคำสั่งจากแพทย์
  4. รับประทานยานี้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น ห้ามปรับเปลี่ยนขนาดรับประทานด้วยตนเอง
  5. ควรศึกษาการปฐมพยาบาลตนเองเบื้องต้นเมื่อเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  6. ควรรับประทานยานี้ร่วมกับการควบคุมอาหารที่รับประทานประจำวันที่จะทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูง
  7. ตรวจระดับสอบน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอว่าอยู่ในภาวะปกติหรือไม่
  8. หากพบอาการแพ้ยา (เช่น มีไข้ ขึ้นผื่น หายใจลำบาก) ต้องรีบนำตัวผู้ป่วยส่งแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที
  9. ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  10. ห้ามใช้ยาหมดอายุ

ผลข้างเคียง

  • อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
  • ปวดหัว
  • มีลักษณะคล้ายอาการแพ้ยา (เช่น ขึ้นผื่น มีไข้ หายใจลำบาก)
  • โลหิตจาง/ โรคซีด
  • คลื่นไส้-อาเจียน
  • อ่อนเพลีย
  • เกล็ดเลือดต่ำ
  • วิตกกังวล
  • การมองเห็นภาพไม่ชัดเจน
  • หงุดหงิด
  • สับสน
  • หัวใจเต้นช้า
  • ง่วงนอน

การเก็บรักษาซัลโฟนิลยูเรีย

  • เก็บยาที่อุณหภูมิห้อง
  • เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อน และความชื้น
  • ไม่ควรเก็บยาไว้ในห้องน้ำ และ
  • เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง


แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– haamor.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM

แชร์

ยังไม่มีบัญชี