ยาพาราเซตามอล หรืออะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) เป็นคือยาตัวเดียวกันและมีสูตรทางเคมีเหมือนกันคือ C8H9NO2 เพียงแค่เรียกชื่อต่างกันเฉยๆ ซึ่งทั้งสองชื่อเป็นชื่อสากลที่ได้มาตรฐานตามที่องค์กรอนามัยโลกกำหนด แต่ชื่อที่คนไทยคุ้นหูมากที่สุดคือ พาราเซตามอล นั่นเอง เป็นยาที่คนไทยรู้จักกันดี เพราะออกโฆษณาทางทีวีบ่อยมาก ชื่อเต็มคือ N-acetyl-para-acetylaminophenol เป็นยาแก้ปวดและลดไข้ที่ไม่มีฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ จัดเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ค่อนข้างปลอดภัยหากไม่รับประทานเกินขนาด
ข้อบ่งใช้
- ลดอาการปวดที่ไม่รุนแรงและลดไข้
การออกฤทธิ์ของยา Paracetamol
การออกฤทธิ์ของยาพาราเซตามอลจะเข้าไปยับยั้งสารเคมีในสมอง เช่น สารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ที่เกี่ยวข้องกับอาการปวด และทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดลงได้ด้วยการยับยั้งสารในสมองส่วนที่มีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งยาพาราจะออกฤทธิ์ภายใน 30 นาทีโดยประมาณหลังจากรับประทาน และออกฤทธิ์ต่อเนื่องได้นาน 4-6 ชั่วโมง
รูปแบบของยา Paracetamol
- รูปแบบหยดสำหรับเด็กอ่อน ขนาด 60 มก./0.6 มล. หรือ 80 มก./0.8 มล.
- รูปแบบน้ำสำหรับให้เด็กเล็กทำให้สามารถกินได้ง่าย มีขนาด 120, 125, 160, 250 มก./ช้อนชา ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเด็ก
- รูปแบบยาเม็ดรี ยาเม็ดกลม และแคปซูล ขนาด 325, 500, 650 มก./เม็ด
ปริมาณการใช้ยา
การใช้ยาพาราเซตามอลควรทานตอนที่มีอาการปวดหรือมีไข้เท่านั้น ปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทานยาพาราจะแบ่งตามน้ำหนักตัว คือ 10-15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หลักการรับประทานดังนี้
ยาพาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด เหมาะสำหรับคนทั่วไปและเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไป
- คนทั่วไปที่มีน้ำหนักระหว่าง 33-50 กิโลกรัม คือ ครั้งละ 1 เม็ด
- คนทั่วไปที่มีน้ำหนักระหว่าง 51-67 กิโลกรัม คือ ครั้งละ 1 เม็ดครึ่ง
- คนทั่วไปที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 67 กิโลกรัมขึ้นไป คือ ครั้งละ 2 เม็ด
ข้อควรระวังในการใช้ยา Paracetamol
ผู้ที่สามารถใช้ยา Paracetamol ได้
- ยาพาราสามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยขนาดของยาที่ใช้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดฟัน ปวดข้อ
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยา Paracetamol
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับตับ หรือมีปัญหาการทำงานของตับผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับไต หรือผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
- ผู้ที่มีภาวะของโรคพร่องเอนไซม์จีซิกพีดี (G6PD) รับประทานพาราเซตามอลได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
- ผู้ที่แพ้ยาพาราเซตามอล หรืออะเซตามิโนเฟน โดยเมื่อทานแล้วมีอาการแพ้ เช่น มีผื่นขึ้น แน่นหน้าอก
- ผู้ที่กำลังทานยารักษาโรคลมชัก
- ผู้ที่กำลังทานยารักษาวัณโรค
ผลข้างเคียงและอาการแพ้ยาพาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอลมีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยและพบไม่บ่อยนัก การทานยาพาราเซตามอลนานๆ อาจจะส่งผลต่อตับและไต โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะการทำงานของตับและไตผิดปกติอยู่แล้ว ส่วนผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาด เช่น
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการเหงื่อออก
- เบื่ออาหาร
- ทำให้เกิดการบาดเจ็บในตับ
- เกิดอาการสมองเสื่อมจากโรคตับได้
การใช้ยาพาราเซตามอลอาจมีอาการแพ้ยา เช่น
- อาการหายใจไม่ออก
- แน่นหน้าอก
- มีผื่นขึ้น
- มีอาการบวมที่ใบหน้า บริเวณเปลือกตา ริมฝีปาก หรือเกิดลมพิษได้
การเก็บรักษายา Paracetamol
- ควรเก็บยาให้พ้นจากความร้อน แสงแดด และเก็บให้พ้นมือเด็ก
- ควรเก็บยาในภาชนะที่ปิดสนิทและไม่ควรเก็บยาในที่ชื้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– doctorraksa.com
– เว็บพบแพทย์
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM