อัลโลพูรินอล มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Allopurinol ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1950 โดย Hitchings และคณะ เป็นยากลุ่มลดกรดยูริกในร่างกาย ใช้สำหรับรักษาโรคเกาต์ (Gout) ทั้งโรคเกาต์เรื้อรัง โรคนิ่วในไตจากการมีกรดยูริกสูง และในผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด ฯลฯ ซึ่งยาอัลโลพูรินอลสามารถควบคุมระดับของกรดยูริกในเลือดให้เป็นปกติ แต่ไม่สามารถช่วยลดอาการปวดหรืออักเสบของผู้ป่วยโรคเกาต์ได้
ข้อบ่งใช้
- ใช้ลดกรดยูริกในร่างกาย สำหรับรักษาโรคเกาต์
การออกฤทธิ์ของยา Allopurinol
หากร่างกายมีปริมาณกรดยูริกจำนวนมากมักเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์หรือโรคไต ซึ่งยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) จะออกฤทธิ์ช่วยให้ปริมาณกรดยูริกในร่างกายลดลงหลังจากรับยาไปแล้ว 24 ชั่วโมงแรก และจะลดลงมากที่สุดในวันที่ 4 หรือระยะภายใน 2 สัปดาห์ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดโรคเกาต์หรือโรคไต โดยยาชนิดนี้จะถูกขับออกด้วยไตผ่านทางปัสสาวะ
รูปแบบของยา Allopurinol
ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) มีรูปแบบในการใช้ 2 แบบ คือ รูปแบบรับประทาน และรูปแบบฉีดเข้าเส้นเลือด โดยรูปแบบที่นิยมให้รับประทานมักเป็นรูปแบบยาเม็ด ปริมาณที่ใช้อยู่ที่ 100 ไปจนถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนแบบฉีดจะใช้อยู่ที่ปริมาณ 200 ไปจนถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ปริมาณที่เหมาะสมในการใช้จะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากแพทย์ตามอาการเท่านั้น
ปริมาณการใช้ยา Allopurinol
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยา Allopurinol เพื่อรักษาโรคเก๊าท์
ผู้ใหญ่
ยารับประทาน วันละครั้ง ครั้งละ 100 มิลลิกรัม/วัน โดยแพทย์อาจเพิ่มปริมาณยาขึ้น 100 มิลลิกรัม ทุก ๆ สัปดาห์ จนกว่าระดับกรดยูริคในร่างกายจะน้อยกว่าหรือเท่ากับ 6 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ทั้งนี้ แพทย์อาจพิจารณาปริมาณและการใช้ยาตามระดับความรุนแรงเป็นรายกรณีด้วย เช่น
โรคเก๊าท์ระดับไม่รุนแรง
- ยารับประทาน วันละครั้ง ครั้งละ 200-300 มิลลิกรัม/วัน
โรคเก๊าท์ระดับรุนแรง
- ยารับประทาน ปริมาณเฉลี่ย 400-600 มิลลิกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานวันละหลายครั้ง
ควรรับประทานยาหลังมื้ออาหาร เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
การใช้ยาในปริมาณมากกว่า 300 มิลลิกรัม/วัน ควรแบ่งรับประทานเป็นหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งโดยทั่วไปมักแบ่งออกเป็น 3 ครั้ง/วัน เพื่อป้องกันการเกิดเก๊าท์แบบข้ออักเสบเฉียบพลัน
ปริมาณยาน้อยที่สุดที่จะส่งผลต่อการรักษา คือ 100-200 มิลลิกรัม/วัน
ปริมาณยาสูงสุดที่ใช้รักษาผู้ป่วยต้องไม่เกิน 800 มิลลิกรัม/วัน
ยาจะส่งผลให้ปริมาณกรดยูริคลดลงจนอยู่ในระดับปกติภายใน 1-3 สัปดาห์
ข้อควรระวังในการใช้ยา Allopurinol
ก่อนที่ใช้ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) ผู้ที่ใช้ควรต้องรู้ในเรื่องดังต่อไปนี้
- ผู้ที่สามารถใช้ยา Allopurinol ได้ ดังนี้
- ผู้ที่แพทย์วินิฉัยแล้วว่ามีปริมาณกรดยูริกในเลือดสูง
- ไม่เคยแพ้ยาประเภทนี้ หรือแพ้ส่วนประกอบของยาชนิดนี้อย่างรุนแรงมาก่อน
2.ผู้ที่ไม่ควรใช้ยา Allopurinol ดังนี้
ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชนิดนี้หรือส่วนประกอบในยาชนิดนี้
- ที่มีประวัติเกี่ยวกับการป่วยเป็นโรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตรต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
- ควรเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยาในผู้สูงอายุเป็นพิเศษ เนื่องจากไตอาจทำงานได้น้อยลง และยา Allopurinol จะต้องถูกขับออกโดยไต
3.ยานี้อาจทำให้รู้สึกง่วงซึมได้ ไม่ควรขับรถหรือใช้เครื่องจักรหลังรับประทานยา
ผลข้างเคียงและอาการแพ้ยา Allopurinol
พบว่า อาการข้างเคียงหรืออาการแพ้จากการใช้ยาอัลโลพูรินอล (Allopurinol) โดยส่วนมากมักมีอาการ ดังนี้
- มีอาการบวมบริเวณหน้า ริมฝีปาก เปลือกตา และมีอาการลมพิษ
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หน้ามืด หรือเป็นลม
- รู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัว ปวดศีรษะ ไข้ หนาวสั่น
- ตามผิวหนังมีเลือดออกมากผิดปกติ มีตุ่มพอง ผิวหนังลอก มีผื่นขึ้น
- ปวดท้อง ท้องอืด หรือท้องเสียขั้นรุนแรง
- มีแผลเปื่อยบริเวณปาก คอ จมูก
- ผมร่วงผิดปกติ
- ปวดตา หรือการมองเห็นผิดปกติ
- น้ำหนักลดผิดปกติ
- ตัวเหลือง ตาเหลืองคล้ายดีซ่าน
การเก็บรักษายา Allopurinol
ควรเก็บรักษายาที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากแสงแดงและความชื้น ไม่เก็บยาในห้องอาบน้ำ และควรไว้ในที่ที่ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง ไม่เทยานี้ทิ้งในห้องน้ำหรือในท่อระบายน้ำ ให้ทิ้งผลิตภัณฑ์ยานี้อย่างเหมาะสมเมื่อยาหมดอายุหรือเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้อีก
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– HDmall.com
– เว็บพบแพทย์
– doctorraksa.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM