ไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ หรือไวรัสลงกระเพาะ (Viral Gastroenteritis) หรือที่เรียกว่า ไข้หวัดลงกระเพาะ (stomach flu) เป็นการติดเชื้อในลำไส้ทำให้เกิดอาการถ่ายเหลว ปวดท้องอย่างรุนแรง คลื่นไส้หรืออาเจียน และในบางครั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นปัญหาร้ายแรงสำหรับทารก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะอาจถึงแก่ชีวิตได้
อาการของไวรัสลงกระเพาะและลำไส้
ไวรัสลงกระเพาะอาจมีอาการคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารจากแบคทีเรีย โดยมีอาการเบื้องต้น ดังนี้
- อุจจาระเป็นน้ำ ซึ่งมักไม่มีเลือดปนแต่อาจเกิดขึ้นได้หากติดเชื้อรุนแรง
- เป็นตะคริวบริเวณท้อง และปวดท้อง โดยไม่ได้ปวดเฉพาะที่จุดใดจุดหนึ่ง
- คลื่นไส้ อาเจียน หรือทั้ง 2 อย่าง
- ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อ หรือข้อ
- มีไข้ต่ำ รู้สึกหนาวสั่น
- ไม่อยากอาหาร น้ำหนักลด
อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อ 12-48 ชั่วโมง และอาจมีอาการรุนแรงแตกต่างกันตามเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งอาการป่วยมักหายได้เองภายใน 1-3 วัน แต่อาจป่วยยาวนานได้ถึง 10 วัน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการ และไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการรุนแรง ดังต่อไปนี้
ทารก
- อาเจียนนานหลายชั่วโมง
- ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง
- อุจจาระเป็นเลือดหรือเหลวมาก
- กระหม่อมบุ๋ม ตาโหล
- ปากแห้ง หรือร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
- นอนมาก ซึมลง หรือไม่ตอบสนอง
เด็กเล็ก
- มีไข้สูง
- ซึมลง หรือกระสับกระส่ายผิดปกติ
- งอแง ไม่สบายตัว หรือปวดท้องมาก
- อุจจาระเป็นเลือด
- เสี่ยงเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง โดยควรสังเกตจากการเปรียบเทียบปริมาณน้ำที่ดื่มกับการปัสสาวะว่าผิดปกติหรือไม่
ผู้ใหญ่
- อาเจียนนานกว่า 2 วัน หรืออาเจียนเป็นเลือด
- เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง โดยกระหายน้ำมาก ปากแห้ง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มหรือไม่ปัสสาวะ รู้สึกอ่อนเพลียมาก และวิงเวียนศีรษะ
- อุจจาระเป็นเลือด
- มีไข้สูง
สาเหตุของ ไวรัสลงกระเพาะและลำไส้
สาเหตุที่พบได้มากที่สุดของโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ คือ การสัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน โดยมีไวรัสหลายชนิดที่สามารถทำให้เกิดโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ได้
เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคไวรัสลงกระเพาะมีดังนี้
- ไวรัสโรต้า (Rotavirus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในทารกวัยตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปี 3 เดือน อาการของโรคจะคงอยู่ตั้งแต่ 3-7 วัน พบได้ทุกฤดู แต่พบบ่อยในช่วงอากาศเย็น หรือฤดูหนาว
- ไวรัสโนโร (Norovirus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้ใหญ่ มักพบแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ที่เดินทางโดยเรือสำราญ สามารถพบการติดเชื้อได้ตลอดปี อาการจะเป็นอยู่ตั้งแต่ 1-3 วัน
- ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) มักจะเกิดการติดต่อในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี อาการจะคงอยู่ตั้งแต่ 5-12 วัน และพบการติดเชื้อได้ตลอดทั้งปี

การรักษาไวรัสลงกระเพาะและลำไส้
ขณะนี้ยังไม่มีวิธีรักษาภาวะไวรัสลงกระเพาะแบบเฉพาะเจาะจง จึงทำได้เพียงประคับประคองตามอาการ และป้องกันภาวะขาดน้ำเป็นหลัก ซึ่งบางกรณี แพทย์อาจรักษาโดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ให้ใช้ยาบางชนิด และแนะนำวิธีดูแลอาการด้วยตนเองในระหว่างพักฟื้น
แม้ผู้ป่วยอาจหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองดังต่อไปนี้
- ดื่มน้ำมาก ๆ โดยเฉพาะหลังจากอาเจียนหรืออุจจาระเป็นน้ำ และควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นทั้งในระหว่างหรือหลังรับประทานอาหาร และจิบน้ำทีละน้อยหากดื่มน้ำลำบาก
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ เพราะไม่สามารถทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปได้ แต่อาจทำให้ท้องเสียมากขึ้น
- รับประทานอาหารทีละน้อย โดยเน้นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าว มันฝรั่ง ขนมปัง ธัญพืช เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และกล้วย เพื่อลดการระคายเคืองและช่วยให้กระเพาะอาหารฟื้นตัว
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันกับน้ำตาลสูง รวมทั้งอาหารประเภทนม คาเฟอีน และแอลกอฮอล์ จนกว่าจะหายเป็นปกติ
- เด็กควรรับประทานอาหารทันทีที่หิว และทารกควรดื่มน้ำนมหรือรับประทานอาหารตามปกติหากมีอาการป่วยไม่รุนแรง แต่หากทารกท้องเสียอย่างรุนแรง ควรให้ดื่มนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เช่น นมถั่วเหลืองธรรมชาติ นมอัลมอนด์ และน้ำนมข้าว เป็นต้น
- พักผ่อนมาก ๆ เพราะผู้ป่วยโรคนี้มักรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย
- ผู้ป่วยอาจรับประทานผงเกลือแร่เพื่อช่วยเพิ่มพลังงาน ชดเชยเกลือแร่และน้ำในร่างกาย ป้องกันอาการอ่อนเพลียและภาวะขาดน้ำ โดยผสมผงเกลือแร่กับน้ำตามปริมาณที่กำหนดและจิบทีละน้อย
- ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยาบรรเทาอาการใด ๆ โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นซึ่งไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพราะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่อาจรับประทานยารักษาตามอาการ เช่น โลเพอราไมด์ ซึ่งช่วยลดการบีบตัวและการอักเสบของลำไส้ แต่ไม่ควรรับประทานกลุ่มยาปฏิชีวนะ เพราะไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัส
การป้องกันโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้
แม้ปัจจุบันจะมีวัคซีนป้องกันไวรัสลงกระเพาะผลิตออกมา สามารถป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรคได้ แต่ก็ยังสามารถป้องกันได้เพียงไวรัสโรต้าเท่านั้นและมีราคาสูง
ดังนั้นคุณจึงควรระวังรักษาสุขภาพด้วยตนเองร่วมด้วย ดังนี้
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ หรืออุ่นให้ร้อนก่อน
- ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทานเสมอ
- ล้างมือให้สะอาด ถูกวิธีบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร ผู้ใหญ่ควรสอนให้เด็กเล็กรู้จักวิธีล้างมือที่ถูกต้อง
- ขณะเดินทางควรพกน้ำสะอาดไปด้วยเสมอเพื่อใช้ดื่มและแปรงฟัน
- จัดบ้านให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ
- ไม่คลุกคลี หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
- หากมีลูก หรือมีเด็กในการดูแลซึ่งอยู่ในวัยเรียนป่วยเป็นไวรัสลงกระเพาะ ควรให้เด็กหยุดเรียน หรือแยกตัวออกจากเด็กคนอื่นๆ ประมาณ 48 ชั่วโมง หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น
สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ อาเจียน หรืออุจจาระของผู้ป่วย มีคำแนะนำเพื่อป้องกันโรคและไม่ให้เป็นตัวกลางในการแพร่กระจายเชื้อ ดังนี้
- ใส่ถุงมือและผ้าปิดปากทุกครั้ง ขณะทำความสะอาด
- ล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ โดยให้น้ำไหลผ่านเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วินาที
- เก็บผ้าขี้ริ้วที่เช็ดทำความสะอาดในถุงพลาสติกที่ปิดมิดชิดก่อนทิ้งลงถังขยะ
- ทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ด้วยน้ำร้อนและผงซักฟอก จากนั้นรอให้แห้งก่อนแล้วจึงค่อยมานำมาใช้ใหม่
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
– web hdmall
– web haamor
– web pobpad
เรียบเรียงข้อมูลโดย: CHULALAKPHARMACY.COM